การตลาด
สกู๊ป....เนสท์เล่ผลิกโฉมกาแฟปรุงสำเร็จแก้เกมตลาดซบ


 


 
ยังคงมีอัตราการเติบโตที่ชะลอตัวอย่างต่อเนื่องสำหรับตลาดกาแฟสำเร็จรูปของไทย  ปัจจัยหลักที่สงผลกระทบก็ยังคงมาจากปัจจัยลบทางด้านเศรษฐกิจที่ยังอยู่ในภาวะซบเซา โดยในปีที่ผ่านมาภาพรวมตลาดกาแฟสำเร็จรูปมีอัตราการเติบโตเพียง 0.5%  เท่านั้น  และมีแนวโน้มว่าปีนี้จะยังคงมีอัตราการเติบโตอยู่ในระดับดังกล่าว  เนื่องจากตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการในธุรกิจกาแฟสำเร็จรูปยังไม่มีการเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่เข้ามาทำตลาด มีเพียงการเปิดตัวโฆษณาชุดใหม่ เพื่อตอกย้ำแบรนด์เท่านั้น

 
ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวบริษัท เนสท์เล่(ไทย) จำกัด ในฐานะผู้นำตลาดกาแฟสำเร็จรูปต้องออกมาตอกย้ำการเป็นผู้นำ  ด้วยการเปิดตัว เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ผสมกาแฟคั่วบดละเอียดเข้าทำตลาด  เพื่อสร้างสีสันและความคึกคักให้กับตลาดกาแฟสำเร็จรูปของไทย  โดยเฉพาะตลาดกาแฟปรุงสำเร็จ  เนื่องจากการเปิดตัวเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู เข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ บริษัท เนสท์เล่(ไทย) ได้มีการยกเลิกการทำตลาดกาแฟทรีอินวัน  ด้วยการนำสินค้าใหม่ตัวนี้เข้ามาทำตลาดแทน  ซึ่งไทยถือเป็นประเทศแรกที่บริษัทแม่ของเนสท์เล่เล็งเห็นความสำคัญนำสินค้าใหม่ดังกล่าวเข้ามาทำตลาดเป็นประเทศแรกของโลก

นางออดรีย์ เลียว ประธานกรรมการและประธานคณะผู้บริหาร เนสท์เล่ อินโดไชน่า กล่าวว่า ในฐานะที่เนสกาแฟเป็นแบรนด์ที่ได้รับความไว้วางใจจากคนไทยจากรุ่นสู่รุ่น จนครองความเป็นผู้นำตลาดกาแฟมานานกว่า 4 ทศวรรษ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาเนสกาแฟได้สร้างความเคลื่อนไหวให้กับตลาดกาแฟภายในประเทศไทยให้มีความคึกคักอย่างต่อเนื่อง  ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ  เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง  และเพื่อสร้างความแปลกใหม่ให้กับตลาดกาแฟปรุงสำเร็จในประเทศไทย  ล่าสุดบริษัทได้ตัดสินใจยุติการจำหน่ายเนสกาแฟทรีอินวัน  ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ขายดีที่สุดของเนสกาแฟในประเทศไทย เพื่อเดินหน้ามอบประสบการณ์ใหม่จากเนสกาแฟในแบบที่ผู้บริโภคในประเทศไทยยังไม่เคยสัมผัส ด้วยการเปิดตัว “เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ผสมกาแฟคั่วบดละเอียด” เข้ามาทำตลาด  ซึ่งไทยถือเป็นประเทศแรกที่ได้เปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่ดังกล่าว
 

เหตุผลที่บริษัทแม่เลือกไทยเป็นประเทศแรกของการเปิดตัว เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ผสมกาแฟคั่วบดละเอียด เพื่อพลิกโฉมกาแฟปรุงสำเร็จ ด้วยการผสมผสานกาแฟคั่วบดละเอียดผ่านด้วยเทคโนโลยีพิเศษเอกสิทธิ์เฉพาะของเนสกาแฟ  เพื่อกักเก็บความหอมกรุ่นและรสชาติของกาแฟแท้ๆ คั่วบดละเอียดของ เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ผสมกาแฟคั่วบดละเอียด  เพราะไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพ  ประกอบกับตลาดกาแฟสำเร็จรูปในประเทศไทยยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก  เนื่องจากอัตราการบริโภคกาแฟของคนไทยยังมีอัตราเฉลี่ยเพียง 200 แก้วต่อปีเท่านั้น  ต่ำกว่าประเทศญี่ปุ่นที่มีการบริโภคกาแฟอยู่ที่ประมาณ 400 ถ้วยต่อปี

หลังจากเปิดตัวเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู เข้าทำตลาดในประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อย  บริษัทแม่ของเนสท์เล่ก็จะทยอยเปิดตัวสินค้าดังกล่าวเข้าไปทำตลาดในประเทศต่างๆ โดยประเทศต่อไปที่จะเข้าไปทำการเปิดตัวเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ถือ ฟิลิปปินส์  ซึ่งบริษัทแม่เนสท์เล่ มั่นใจว่าหลังจากเปิดตัวสินค้าดังกล่าวเข้าทำตลาดทั่วโลกจะได้ผลการตอบรับที่ดีทุกประเทศ
 

นายแวลดดิสลาฟ อังดรีฟ ผู้อำนวยการบริหารธุรกิจผลิตภัณฑ์กาแฟและครีมเทียม บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จำกัด กล่าวว่า  “เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู” ถือเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ที่บริษัทภูมิใจ  เพราะเป็นสินค้าที่เกิดจากการวิจัยเพื่อพัฒนาประสบการณ์ใหม่ๆ ในการดื่มกาแฟให้แก่ผู้บริโภคชาวไทยที่มองหากาแฟปรุงสำเร็จที่มีกลิ่นหอมกรุ่นและรสชาติที่อร่อยกลมกล่อมในราคาที่หาซื้อได้ง่าย โดยปัจจุบันมีสินค้าให้ผู้บริโภคได้เลือกซื้อด้วยกัน  2 รสชาติ  คือ  ริช อโรมา และ เอสเปรสโซ โรสต์

สำหรับแผนการทำตลาดของเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู  หลังจากเปิดตัวเข้าทำตลาดอย่างเป็นทางการบริษัท เนสท์(ไทย) ก็มีแผนที่จะใช้งบประมาณ 600 ล้านบาท ในการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปีผ่านสื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทีวี  ป้ายโฆษณา สื่อ ณ จุดขาย การแจกสินค้าทดลองชิม หรือการโฆษณาและทำกิจกรรมผ่านสื่อดิจิทัล ด้วยการดึงคนดังในโลกออนไลน์มาเผยเรื่องราวที่ไม่เคยรู้ของเนสกาแฟผ่านทางสื่อเฟสบุ๊ค อินสตาแกรม และยูทูป

นอกจากนี้  ยังจะมีการจัดแคมเปญการตลาดแบบครบวงจรภายใต้คอนเซ็ปท์ “เนสกาแฟ ในแบบที่คุณไม่เคยสัมผัส” ประกอบด้วย ภาพยนตร์โฆษณาแนะนำผลิตภัณฑ์ และโฆษณาหลักที่มี 2 แบรนด์แอมบาสเดอร์มาร่วมสื่อสารในแบรนด์สินค้า  ประกอบด้วย   มิน-พีชญา วัฒนามนตรี และ เจมส์ มาร์  เพื่อเชิญชวนให้ผู้บริโภคได้เข้ามาร่วมสัมผัสประสบการณ์ใหม่

ขณะเดียวกัน บริษัท เนสท์เล่ (ไทย) ยังจะมีการจัดคาราวานแจกผลิตภัณฑ์ให้คนไทยได้ลิ้มลองรสชาติความอร่อยของ "เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู" กว่า 4 ล้านถ้วยทั่วประเทศ โดยประเดิมส่งคาราวานทีมพนักงานเนสท์เล่ เดินสายมอบประสบการณ์ความหอมอร่อยกลมกล่อม  เพื่อให้คนกรุงเทพฯ ในย่านต่างๆ เช่น  ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล เวิลด์ และสีลม คอมเพล็กซ์  ได้ทดลองชิมเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู

ปัจจุบันเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ผสมกาแฟคั่วบดละเอียด มีสินค้าจำหน่ายในร้านค้าปลีกแล้วด้วยกัน 5 ขนาด ได้แก่ ขนาดแพ็ค 4 ซอง  ราคา 20 บาท  9 ซอง ราคา 39 บาท  27 ซอง ราคา 102 บาท และ 40 ซอง ราคา 145 บาท (สำหรับลูกค้าทั่วไป) และขนาด 60 ซอง ราคา 185 บาท (สำหรับร้านค้าปลีก)  ซึ่งหลังจากเปิดตัวสินค้าดังกล่าวเข้าทำตลาดบริษัท เนสท์เล่(ไทย) มั่นใจว่าจะได้ผลการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย

นายแวลดดิสลาฟ กล่าวอีกว่า  การเปิดตัวเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู เข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ ถือเป็นการช่วยกระตุ้นตลาดกาแฟสำเร็จรูปของไทยให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง เพราะหลังจากมีปัจจัยลบเศรษฐกิจชะลอตัวตั้งแต่ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ภาพรวมตลาดกาแฟสำเร็จรูปในปี 2558 มีอัตราการเติบโตชะลอตัว  แต่หลังจากนี้เชื่อว่าภาพรวมตลาดกาแฟสำเร็จรูปน่าจะกลับมาคึกคักและมีอัตราการเติบโตที่ดี 

ปัจจุบันตลาดกาแฟสำเร็จรูปมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ  20,000 ล้านบาท  ในจำนวนดังกล่าวเป็นตลาดกาแฟในรูปแบบทรีอินวันประมาณ 15,000  ล้านบาท ส่วนอีก 5,000 ล้านบาท เป็นกาแฟคั่วบดสำเร็จรูป  ซึ่งในมูลค่าตลาดรวมดังกล่าวปัจจุบันมีเนสกาแฟเป็นผู้นำตลาด  ด้วยการมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 60%

นอกจากจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดสินค้านวัตกรรมใหม่แล้ว  บริษัท เนสท์เล่(ไทย) ยังให้ความสำคัญกับการผลิตสินค้า  ด้วยการใช้งบ 800 ล้านบาท ลงทุนในด้านของการผลิตภายในโรงงานย่านบางปู และฉะเชิงเทรา เพื่อรองรับการผลิตสินค้าเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู  กาแฟสำเร็จรูป  และสินค้าอื่นๆ  เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต  เนื่องจากในแต่ละปีบริษัท เนสท์เล่ (ไทย) จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง

ภาพรวมของตลาดกาแฟที่ซบเซาจะกลับมาฟื้นตัวและมีอัตราการเติบโตได้หรือไม่  นอกจากผู้นำตลาดจะออกมากระตุ้นให้ตลาดมีความคึกคักแล้ว  ในส่วนของผู้เล่นรายรองลงมาก็ต้องออกมาช่วยทำการตลาดเช่นกัน  เพราะถ้าทุกแบรนด์ออกมาช่วยกันทำการตลาด  นอกจากจะช่วยกระตุ้นให้ตลาดมีสีสันและมีความคึกคักมากขึ้นแล้ว  ยังสามารถช่วยกระตุ้นยอดขายแบรนด์สินค้าของตัวเองให้มีอัตราการเติบโตได้อีกด้วย

แต่จะเติบโตได้มากหรือน้อยคงต้องรอลุ้นกันที่ปัจจัยแวดล้อมควบคู่ไปด้วย  โดยเฉพาะปัจจัยด้านเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่ขณะนี้ยังคงต้องลุ้นกันอยู่ว่าภาพรวมครึ่งปีหลังจากกลับมาฟื้นตัวตรงตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์หรือไม่  เพราะปัจจุบันการคาดการณ์ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยในตอนนี้เสียงเริ่มแตกออกเป็น 2 ทาง คือ ทางที่มองเห็นว่าแนวโน้มเริ่มดีขึ้น  กับทางที่ยังไม่เห็นว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้น  ไม่ว่าภาพรวมเศรษฐกิจจะเป็นทางไหน  หากออกมาลุยทำการตลาดแล้วอย่างน้อยก็มียอดขายเพิ่มขึ้น





 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 03 มิ.ย. 2559 เวลา : 12:56:20
25-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 25, 2024, 8:49 pm