นายพิชา สิริโยธิน ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า เบี้ยประกันชีวิตรับรวม ณ สิ้นเดือนเมษายน 2559 มีทั้งสิ้น 183,269.06 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากระยะเดียวกันของปีก่อนร้อยละ 6.21 จำแนกเป็นเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่จำนวน 52,902.54 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.41 และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปจำนวน 130,366.52 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.29 อัตราความคงอยู่ร้อยละ 83 โดยเบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ จะประกอบด้วย (1) เบี้ยประกันชีวิตปีแรก มีจำนวน 37,626.85 ล้านบาท อัตราการเติบโตร้อยละ 1.68 (2) เบี้ยประกันชีวิตจ่ายครั้งเดียว จำนวน 15,275.70 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.75
ในการพิจารณาข้อมูลสถิติของธุรกิจประกันชีวิต สมาคมจะพิจารณาแยกเป็น 2 กรณี คือ ประการแรกจะพิจารณาถึงขนาดของบริษัท และประการที่สอง จะพิจารณาถึงการขยายงานของบริษัท จากสถิติเบี้ยประกันชีวิตรับ เดือนเมษายนของปี 2559 ซึ่งสมาคมประกันชีวิตไทยได้รวบรวมจากบริษัทประกันชีวิตทุกบริษัท มีดังนี้
1. เบี้ยประกันชีวิตรับรวม เดือนเมษายน 2559 มีทั้งสิ้น 183,269.06 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 6.21 บริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรวมสูงสุด หรือมีขนาดใหญ่สูงสุด 7 อันดับแรก คือ
อันดับที่ 1 บจ.เอ.ไอ.เอ. จำนวน 36,237.23 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 19.77
อันดับที่ 2 บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต จำนวน 34,157.02 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 18.64
อันดับที่ 3 บมจ.ไทยประกันชีวิต จำนวน 23,555.12 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 12.85
อันดับที่ 4 บมจ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำนวน 18,984.99 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 10.36
อันดับที่ 5 บมจ.กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต จำนวน 17,777.59 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 9.70
อันดับที่ 6 บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต จำนวน 15,689.79 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 8.56
อันดับที่ 7 บมจ.อลิอันซ์ อยุธยา ประกันชีวิต จำนวน 9,683.69 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 5.28
รวม 7 อันดับแรก ครองสัดส่วนการตลาดร้อยละ 85.16 และอีก 15 บริษัทที่เหลือครองสัดส่วนการตลาด ร้อยละ 14.84
2. เบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่ เดือนเมษายน 2559 มีทั้งสิ้น 52,902.54 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนในระยะเวลาเดียวกันร้อยละ 1.41 บริษัทประกันชีวิตที่มีเบี้ยประกันชีวิตรับรายใหม่สูงสุด หรือมีการขยายงานสูงสุด 7 อันดับแรก คือ
อันดับที่ 1 บมจ.เมืองไทยประกันชีวิต จำนวน 12,134.43 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 22.94
อันดับที่ 2 บจ.เอ.ไอ.เอ. จำนวน 7,655.38 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 14.47
อันดับที่ 3 บมจ.ไทยประกันชีวิต จำนวน 6,173.84 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 11.67
อันดับที่ 4 บมจ.กรุงไทย แอกซ่า ประกันชีวิต จำนวน 5,460.36 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 10.32
อันดับที่ 5 บมจ.ไทยพาณิชย์ประกันชีวิต จำนวน 4,900.60 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 9.26
อันดับที่ 6 บมจ.กรุงเทพประกันชีวิต จำนวน 2,924.01 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 5.53
อันดับที่ 7 บมจ.เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำนวน 2,444.48 ล้านบาท ซึ่งมีสัดส่วนการตลาดร้อยละ 4.62
ผู้อำนวยการบริหารสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปที่มีจำนวน 130,366.52 ล้านบาท อัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 8.29 โดยมีอัตราความคงอยู่ร้อยละ 83 ถือว่ายังอยู่ในระดับที่ค่อนข้างดี แสดงให้เห็นถึงผู้เอาประกันชีวิตเห็นความสำคัญของการประกันชีวิตเป็นอย่างดี อีกทั้งบริษัทประกันชีวิตแต่ละบริษัทได้มีการพัฒนาแบบของผลิตภัณฑ์ออกมาแข่งขันกันอย่างต่อเนื่อง
จึงเป็นทางเลือกสำหรับผู้บริโภคที่จะได้รับประโยชน์สูงสุด ส่งผลให้ธุรกิจมีการเติบโตอย่างมั่นคง สมาคมจึงขอให้ผู้เอาประกันชีวิตที่ถือครองกรมธรรม์ประกันชีวิตอยู่แล้ว ชำระเบี้ยประกันชีวิตตามกำหนดเวลาจนกระทั่งครบสัญญา ไม่ยกเลิกการชำระเบี้ยประกันชีวิตก่อนเวลาที่สัญญากำหนด มิฉะนั้นจะทำให้เกิดผลเสีย คือ ผู้เอาประกันชีวิตจะได้รับเงินคืนน้อยกว่าเบี้ยประกันชีวิตที่ได้จ่ายไป และหากจะทำสัญญาประกันชีวิตฉบับใหม่จะต้องจ่ายเบี้ยประกันชีวิตแพงขึ้น เพราะการทำประกันชีวิตนั้น ถ้าผู้เอาประกันชีวิตมีอายุสูงขึ้นในวันทำสัญญาจะต้องจ่ายเบี้ยประกันชีวิตแพงขึ้นกว่าเดิม
ข่าวเด่น