ยังคงเป็นแชมป์ธุรกิจที่ทำรายได้เป็นอันดับ 1 ให้กับบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด เนื่องจากในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเซ็นทรัลมีการขยายธุรกิจห้างสรรพสินค้าอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นในประเทศหรือต่างประเทศ ส่งผลให้ปี 2558 ที่ผ่านมา กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้ามีรายได้สูงกว่า 90,000 ล้านบาท และในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มเป็น 120,000 ล้านบาท เนื่องจากธุรกิจห้างสรรพสินค้าในภูมิยุโรปที่ซื้อกิจการมาเริ่มสร้างรายได้ให้เห็นเป็นกอบเป็นกำ และเพื่อให้ธุรกิจในภูมิภาคดังกล่าวมีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น กลุ่มเซ็นทรัล ก็เตรียมใช้งบก้อนโตอีกประมาณ 18,000 ล้านบาท ในการรปรับปรุงห้างสรรพสินค้า 5 แบรนด์ในยุโรปให้มีความสวยงามยาวไปถึงปี 2563
ปัจจุบันกลุ่มเซ็นทรัล มีธุรกิจห้างสรรพสินค้าที่บริหารงานอยู่ทั้งหมด 9 แบรนด์ แบ่งเป็นในประเทศไทย 4 แบรนด์ ประกอบด้วย ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าเซน ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน และเซ็นทรัลเอ็มบาสซี ส่วนอีก 5 แบรนด์อยู่ในยุโรป ประกอบด้วย ลา รีนาเซนเต , อิลลุม และคาเดเว้ ส่วนอีก 2 แบรนด์ที่เหลือจะเป็นห้างสรรพสินค้าที่อยู่ในเครือห้างคาเดเว คือ โอเบอร์โพลลิงเกอร์ และอัลสแตร์เฮ้าส์
สำหรับแผนการขยายธุรกิจห้างสรรพสินค้าในยุโรปปีนี้ กลุ่มเซ็นทรัลยังไม่มีแผนที่จะขยายเพิ่ม เนื่องจากต้องการปรับปรุงและพัฒนาห้างสรรพสินค้าที่มีอยู่ในมือให้ดียิ่งๆขึ้นไปก่อนไม่ว่าจะเป็นลา รีนาเซนเต , อิลลุม คาเดเว้ โอเบอร์โพลลิงเกอร์ หรืออัลสแตร์เฮ้าส์ แต่ถ้ามีโอกาสที่ดีมีห้างสรรพสินค้าที่น่าสนใจ และมีประวัติยาวนานสอดคล้องกับแนวทางการดำเนินธุรกิจห้างสรรพสินค้าของกลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งจะเน้นไปที่การซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าที่สวยงามและมีประวัติศาสตร์ยาวนาน กลุ่มเซ็นทรัลก็พร้อมที่จะลงทุนซื้อกิจการทันที
อย่างไรก็ดี แม้ว่าขณะนี้กลุ่มเซ็นทรัลจะยังไม่มีการซื้อกิจการห้างสรรพสินค้าในยุโรปเพิ่มเติม แต่ในด้านของการขยายสาขาใหม่ปี 2560 ก็จะได้เห็นเพิ่มเติมอย่างน้อย 1 สาขา หลังจากใช้งบ 200 ล้านยูโร ซื้ออาคาร 8 ชั้นขนาดใหญ่ พื้นที่รวมกว่า 17,000 ตารางเมตร บนถนน Via del Tritone ในย่านบันไดสเปน ย่านชอปปิ้งชั้นนำของโลกใจกลางกรุงโรม เพื่อเตรียมเปิดห้างสรรพสินค้า “ลา รีนาเชนเต” สาขาใหม่ โดยอาคารดังกล่าวตั้งอยู่ใจกลางกรุงโรม ประเทศอิตาลี ที่มุมถนน Via del Tritone ตัดกับ Via dei Due Marcelli ซึ่งอยู่ระหว่างบันไดสเปน กับน้ำพุเทรวี สถานที่ท่องเที่ยวอันเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของกรุงโรม โดยพื้นที่ในย่านนี้เต็มไปด้วยบูติกแฟชั่นชั้นสูงและแบรนด์ดังระดับโลก รวมถึงภัตตาคารสุดหรู และสำนักงานแบรนด์แฟชั่นที่มีชื่อเสียงต่างๆ
หลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจห้างสรรพสินค้าในยุโรปอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันธุรกิจห้างสรรพสินค้าในยุโรปมีอัตราการเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยในปี 2557 มีรายได้จากการทำธุรกิจห้างสรรพสินค้าในยุโรปอยู่ที่ 600 ล้านยูโร หรือประมาณ 24,000 ล้านบาท ปี 2558 มีรายได้เพิ่มเป็น 880 ล้านยูโร หรือประมาณ 35,200 ล้านบาท และในปี 2559 นี้คาดว่าจะมีรายได้เพิ่มเป็น 1,300 ล้านยูโร หรือ 52,000 ล้านบาท หลังจากนั้นในปี 2563 คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2,000 ล้านยูโรหรือ 80,000 ล้านบาท
จากความสำเร็จดังกล่าวส่งผลให้ห้างลา รีนาเซนเต้ ได้รับรางวัลจากการดำเนินธุรกิจหลายรายการ เนื่องจากเป็นห้างที่สวยงามที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องเข้ามาชมและช้อปปิ้ง โดยในส่วนของรางวัลที่ได้ ประกอบด้วย รางวัลชนะเลิศ โดยชนะ ห้าง Selfridges(UK) และ ห้าง Brown Thomas (Ireland) สองผู้เข้ารอบสุดท้ายนอกจากนี้ในงาน Global Department Store Summit ห้างสรรพสินค้าลา รีนาเชนเต ยังได้รับ รางวัลรองชนะเลิศ ในหมวด World’s Best Store Window Campaignat a Department Store 2016 Award จากผลงาน Edible Monsters โดย Zim&Zou ซึ่งถูกนำเสนอสู่สายตานักท่องเที่ยวทั่วโลกในวันช่วงงาน EXPO MILANO 2015 ในการตัดสินทั้ง 2 รางวัล คณะกรรมการซึ่งประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงที่เคยบริหารงานด้านธุรกิจค้าปลีก และผู้เชี่ยวชาญเชิงธุรกิจจากประเทศต่างๆ เป็นผู้ประเมินและตัดสินผลรางวัล โดยอิงจากผลโหวตของผู้บริหารธุรกิจห้างสรรพสินค้าและธุรกิจค้าปลีกกว่า 7,000 ราย
นอกจากนี้ ห้างสรรพสินค้า ลา รีนาเชนเต สาขามิลาน ได้รับการจัดอันดับจากไฟแนนเชียลไทม์ส ให้ติดอันดับ 1 ของห้างสรรพสินค้าที่มีร้านอาหารในห้างสรรพสินค้าที่ดีเลิศที่สุด คือ ร้านโคลาโล ล็อบสเตอร์ บาร์ อีกทั้งห้างลา รีนาเชนเต สาขามิลาน ยังได้รับการจัดอันดับจากบิซิเนส อินไซด์เดอร์ ยูเค ให้เป็น 1 ใน 13 ห้างสรรพสินค้าที่ต้องไปเยือนสักครั้งในชีวิต อีกด้วยลา รีนาเชนเต ถือเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีประวัติเก่าแก่มายาวนาน ก่อตั้งครั้งแรกในปี1865 โดยสอง พี่น้องตระกูล Bocconi (Luigi and Ferdinando) เดิมมีชื่อห้างว่า “Magazzini BOCCONI” มีพื้นที่ราว 19,500 ตร.ม. รวบรวมสินค้าและบริการระดับไฮเอนด์ไว้อย่างครบครัน
แม้ว่าน้ำหนักในการทำตลาดกลุ่มเซ็นทรัลจะให้ไปกับภูมิภาคยุโรป ในด้านของภูมิภาคอาเซียนก็ได้ให้ความสำคัญเช่นกัน โดยในปี 2560 มีแผนที่จะเปิดตัวธุรกิจห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ภายในศูนย์การค้าแกรนด์ อินโดนีเซีย ในเมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย ส่วนประเทศอื่นๆ ขณะนี้ยังคงอยู่ระหว่างการศึกษาตลาด
สำหรับแผนการรขยายสาขาห้างสรรพสินค้าในประเทศไทย กลุ่มเซ็นทรัลยังเดินหน้าอย่างต่อเนื่องเช่นกัน โดยในส่วนของแบรนด์ห้างวรรพสินค้าเซ็นทรัลจะเปิดให้บริการเฉลี่ยปีละ 1-2 สาขา ส่วนแบรนด์โรบินสันจะเปิดให้บริการเฉลี่ยปีละ 3-5 สาขา และแบรนด์ห้างสรรพสินค้าเซน ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของทำเลและกลุ่มเป้าหมายที่จะเข้าไปทำตลาด ซึ่งในเร็วๆ นี้กลุ่มเซ็นทรัลมีแผนที่จะนำแบรนด์ห้างสวรรพสินค้าเซนเข้าไปเปิดให้บริการที่หาดป่าตอง จ.ภูเก็ต เพื่อเจาะกลุ่มเป้าหมายนักท่องเที่ยว
ส่วนแบรนด์ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ปีนี้ยังไม่มีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่เพิ่มเติม เนื่องจากปี 2558 ที่ผ่านมาขยายสาขาใหม่ไปแล้ว 3 สาขา และจะเปิดเพิ่มอีก 1 สาขาในปี 2560 ที่ศูนย์การค้าเซ็นทรัล นครราชสีมา ส่วนแบรนด์ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ยังคงเดินหน้าขยายสาขาอย่างต่อเนื่อง โดยในส่วนของปีนี้ก็มีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ประมาณ 3-5 สาขาใกล้เคียงกับทุกปีที่ผ่านมา เนื่องจากโลเคชั่นที่ห้างสรรพสินค้าโรบินัสนจะเข้าไปเปิดให้บริการไม่ได้เน้นจังหวัดหัวเมืองใหญ่เหมือนกับห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล แต่เน้นหัวเมืองรองและเมืองใกล้แนวชายแดน
นางยุวดี จิราธิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจห้างสรรพสินค้า บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด กล่าวว่าหลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจห้างสรรพสินค้าอย่างต่อเนื่อง กลุ่มบริษัทเซ็นทรัลคาดว่าสิ้นปี 2559 นี้จะมีรายได้รวมจากธุรกิจห้างสรรพสินค้าอยู่ที่ประมาณ 120,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากในประเทศ 70% และยุโรป 30% ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นจากปี 2558 ที่มีรายได้รวมจากธุรกิจห้างสรรพสินค้าอยู่ที่กว่า 90,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ในประเทศ 75% และยุโรป 25% โดยในปี 2563 คาดว่าจะมีรายได้รวมจากธุรกิจห้างสรรพสินค้าอยู่ที่ 180,000 ล้านบาท แบ่งเป็นในประเทศ 60% และยุโรป 40%
สำหรับภาพรวมรายได้ของกลุ่มเซ็นทรัลในสิ้นปี 2559 นี้ คาดว่าจะมีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ 400,000 ล้านบาท ปรับเป้ารายได้เพิ่มขึ้นจากเดิมที่วางไว้ว่าจะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 337,040 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดเมื่อเทียบกับปี 2558 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 283,450 ล้านบาท เนื่องจากปีนี้กลุ่มเซ็นทรัลมีการซื้อกิจการเพิ่มเติมหลายรายการ แต่หากเป็นรายการใหญ่ก็น่าจะเป็นการซื้อกิจการห้างบิ๊กซี เวียดนาม และการซื้อกิจการซาโลร่า ประเทศเวียดนาม เพื่อต่อยอดธุรกิจออนไลน์ เนื่องจากปัจจุบัน "ซาโลร่า"เป็น ผู้ให้บริการแฟชั่นช้อปปิ้งออนไลน์ ที่มีธุรกิจเปิดให้บริการใน 8 ประเทศภูมิภาคอาเซียน ประกอบด้วย สิงคโปร์, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, ฮ่องกง, ไต้หวัน และไทย
ข่าวเด่น