การตลาด
สกู๊ป....สหพัฒน์มั่นใจเศรษฐกิจไทยลุยผนึกพันมิตรต่อยอดธุรกิจ






 


หลังจากนายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์ ออกมาแสดงความมั่นใจว่าภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศไทยในปีนี้จะฟื้นตัวดีกว่าปีที่ผ่านมา  นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่ช่วงครึ่งปีหลัง  เนื่องจากขณะนี้สัญญาณต่างๆ เริ่มเห็นในทิศทางบวกมากขึ้น  เห็นได้จากสินค้าในกลุ่มอาหารที่มียอดขายปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวจะส่งผลให้สินค้าอื่นๆขายเติบโตตามไปด้วย  จากสัญญาณที่ดีดังกล่าวทำให้เครือสหพัฒน์คาดการณ์ว่าสิ้นปีนี้จะผลักดันให้ภาพรวมรายได้มีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 5-6% ได้อย่างแน่นอน
 
อย่างไรก็ดี  เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้เครือสหพัฒน์  จึงต้องเร่งสปีดในการขยายธุรกิจ  ด้วยการหาพันมิตรทางธุรกิจเข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง  เพื่อเร่งยอดขายให้เติบโต  หลังจากครึ่งปีแรกเป็นช่วงเวลาแห่งการสังเกตสถานการณ์  และจากแนวโน้มครึ่งปีหลังที่เริ่มปรับตัวดีขึ้น  ทำให้เครือสหพัฒน์ตัดสินใจที่จะจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังหลายราย  โดยส่วนหนึ่งได้เลือกที่จะเซ็นสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจภายในงานสหกรุ๊ป แฟร์ ครั้งที่ 20 ซึ่งได้จัดขึ้นระหว่างวันที่ 30 มิ.ย.-3 ก.ค. 2559
 
นายบุณยสิทธิ์ โชควัฒนา ประธานเครือสหพัฒน์  กล่าวว่า   บริษัทได้ร่วมทุนกับพันธมิตรญี่ปุ่น จัดตั้งบริษัท เวิลด์ สหแฟชั่น  จำกัด  เพื่อดำเนินธุรกิจสินค้าแฟชั่นสไตล์ญี่ปุ่น เป็นสินค้าระดับพรีเมียมภายใต้แบรนด์ ทาเคโอะ คิคูชิ  เจาะกลุ่มเป้าหมายผู้ชาย  ซึ่งการก่อตั้งบริษัทดังกล่าวได้ใช้ทุนในการจดทะเบียนไปประมาณ  50 ล้านบาท โดยมีบริษัทในเครือธนูลักษณ์และกับบริษัท สหพัฒน์  ถือหุ้น 51%  ส่วนที่เหลืออีก 49%  เป็นของบริษัท เวิลด์ กรุ๊ป  ซึ่งการเข้ามาดำเนินธุรกิจสินค้าแฟชั่นสไตล์ญี่ปุ่นในครั้งนี้  ถือเป็นการเติมเต็มพอร์ตฟอลิโอของกลุ่มสินค้าแฟชั่นให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น

 
ทั้งนี้  บริษัท เวิลด์ กรุ๊ป ถือว่าเป็นบริษัทขนาดใหญ่ในกลุ่มธุรกิจสินค้าแฟชั่นประเทศญี่ปุ่น  ปัจจุบันมีสินค้าจำหน่ายในท้องตลาดประมาณ  70 แบรนด์ แบ่งเป็น กลุ่มผู้หญิง 80%  และผู้ชาย 20%  สำหรับแบรนด์ทาเคโอะ คิคูชิ  ถือเป็นอีกหนึ่งแบรนด์สินค้าที่มีความแข็งแกร่ง  เนื่องจากปัจจุบันมีจำนวนสาขาที่จำหน่ายสินค้าในญี่ปุ่นมากถึง 126 สาขา และเป็นแบรนด์แฟชั่นที่ได้รับความนิยมในโตเกียว  ซึ่งก่อนที่จะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยแบรนด์ทาเคโอะ  ได้นำสินค้าเข้าไปทำตลาดในไต้หวันมาแล้ว  และได้รับผลการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ  โดยในส่วนของสินค้าที่นำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยจะเน้นไปที่เสื้อผ้า และกระเป๋า ราคาเริ่มตั้งแต่ 2,000- 10,000 ขึ้นไป  เน้นเจาะกลุ่มวัยทำงาน 20-40 ปี

นายบุณยสิทธิ์  กล่าวต่อว่า   แม้ว่ากลุ่มธุรกิจเสื้อผ้ายังไม่ฟื้นตัว แต่การลงทุนในภาวะที่เศรษฐกิจอยู่ระหว่างฟื้นตัว เป็นจังหวะที่เหมาะสม เนื่องจากมีคู่แข่งน้อย อีกทั้งมองว่ากลุ่มเสื้อผ้าสำหรับผู้ชายในเซ็กเมนต์แฟชั่น มีศักยภาพเติบโตแตกต่างจากสินค้าเบสิกไม่ค่อยโต เพราะคนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญกับการแต่งตัวมากขึ้น โดยในช่วงไตรมาสแรกปีหน้า บริษัทจะเปิดช็อปสแตนอโลนขึ้นมา และวางแผนขยายสาขาเพิ่มปีละ 6-8 สาขา ขนาดพื้นที่ 50 ตร.ม. ซุ่งหลังจากได้แบรนด์ ทาเคโอะ เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจแฟชั่น คาดว่าจะทำให้บริษัท ไอ.ซี.ซี.อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด(มหาชน)  มีรายได้ในสิ้นปีนี้ไม่ต่ำกว่า 13,000 ล้านบาท 

นอกจากจะให้ความสำคัญกับการลงทุนในกลุ่มสินค้าแฟชั่นแล้ว  ในด้านของธุรกิจอาหารเครือสหพัฒน์ ก็ให้ความสำคัญในการลงทุนอย่างต่อเนื่องเช่นกัน  โดยล่าสุดได้เข้าไปลงทุนร้านโคราคุเอ็น ราเมน  ภายใต้  บริษัท เพรซิเดนท์ โคราคุเอ็น จำกัด  ซึ่งเกิดจากการที่บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ จำกัด (มหาชน) เข้าร่วมทุนกับ บริษัท โคราคุเอ็น โฮลดิ้ง คอร์ปอเรชั่น (Kourakuen Holding Corporation) จดทะเบียนก่อตั้งบริษัท เพรซิเดนท์ โคราคุเอ็น  ด้วยทุนจดทะเบียน 25 ล้านบาท  แบ่งเป็นบริษัท  ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ถือหุ้น 70% โคราคุเอ็น โฮลดิ้ง ถือหุ้น 14% และบุคคลถือหุ้น 16%

สำหรับ โคราคุเอ็น ราเมน  ถือเป็นราเมนเก่าแก่ต้นตำรับที่มียอดขายอันดับ 1 ในญี่ปุ่น มีสาขา 529 แห่งรองรับลูกค้า 62 ล้านคนต่อปี และมีแผนจะขยายให้ครบ 1,000 สาขาในอนาคต  หลังจากเริ่มเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยตั้งแต่ปี 2555  แต่ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยร้าน โคราคุเอ็น ราเมน ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่  เนื่องจากโลเคชั่นในการเปิดให้บริการไม่เอื้อ  ประกอบกับต้องทำความเข้าใจกับความต้องการของผู้บริโภค  จึงทำให้ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา  ร้านโคราคุเอ็น  ราเมน มีจำนวนสาขาที่เปิดให้บริการมีเพียง 2 สาขาเท่านั้นที่มียอดขายดี คือ เกตเวย์ เอกมัย และ  เจ-พาร์ค  ศรีราชา ซึ่งทั้ง 2 สาขา  ล้วนแต่เป็นทำเลที่มีคนญี่ปุ่นอาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก
 
 

นายพิพัฒ พะเนียงเวทย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟูดส์ ผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตรามาม่า  กล่าวว่า  แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้  คือ  การวางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้ดำเนินธุรกิจราชาบะหมี่ครบวงจร ต่อยอดจากการเป็นผู้นำตลาดบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปครองส่วนแบ่ง 51-52%  บริษัทจึงตัดสินใจร่วมทุนกับ บริษัท โคราคุเอ็น โฮลดิ้ง คอร์เปอเรชั่น จากญี่ปุ่น ตั้งบริษัท เพรซิเดนท์ โคราคุเอ็น  ทำธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นโคราคุเอ็น ราเมน 

นอกจากนี้  ยังได้มีการใช้งบอีก 5 ล้านบาท ซื้อโรงงานและเครื่องจักรผลิตเส้นบะหมี่และราเมนสด โดยจะย้ายจากเครื่องจักรที่โรงงานมหาชัย ไปโรงงานศรีราชาในเดือน ก.ย. ที่จะถึงนี้  เพื่อต่อยอดธุรกิจ  ด้วยการสร้างบะหมี่เซ็กเมนต์พรีเมียมออกมาสู่ตลาดในอนาคต สำหรับการขยายธุรกิจจากผู้ผลิตบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปไปสู่ธุรกิจร้านอาหารนั้น เพราะเห็นว่าร้านอาหารญี่ปุ่นประเภทราเมนได้รับความนิยมสูงและกระจายตัวไปทั่วโลก 

 
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจร้าน โคราคุเอ็น ราเมน ในปีนี้ จะเน้นบริหารจัดการ 2  สาขาเดิมก่อน คาดว่าจะมีรายได้ประมาณ 40 ล้านบาทใน 1 ปี หลังจากนั้นจะลงทุนขยายสาขาไม่อีกไม่ต่ำกว่า 30  สาขา  ภายใน 5 ปีนับจากนี้  เพื่อให้มีรายได้ไม่ต่ำกว่า  540 ล้านบาท  ซึ่งหลังจากมีการบริหารจัดการใหม่  ด้วยการชูจุดเด่นของ โคราคุเอ็น ราเมน  ที่การเป็นราเมนต้นตำรับแท้ๆ จากญี่ปุ่น แตกต่างจากราเมนในไทยที่น้ำซุปจะมีความมันมากเกินไป โดยรวมมีเมนูหลากหลายกว่า 20 เมนู ราคาเริ่มต้นที่ 160 บาท และมีจัดเป็นเซ็ตเพื่อความสะดวก ถือเป็นราคาระดับกลาง เพราะในตลาดประเทศไทยมีราคาประมาณ 100 – 300 บาท  บริษัท ไทยเพรซิเดนท์ฟู้ด มั่นใจว่าจะมีรายได้ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างแน่นอน
อีกหนึ่งธุรกิจที่เครือสหพัฒน์ ให้ความสนใจเข้าไปลงทุน คือ ธุรกิจพลังงาน  ซึ่งก่อนหน้าที่จะมีการเซ็นสัญญาขยายธุรกิจกลุ่มแฟชั่น และราเมนในงานสหกรุ๊ป แฟร์ ครั้งที่ 20 เครือสหพัฒน์ ได้มีการร่วมเซ้นสัญญาขยายธุรกิจพลังงาน  ด้วยการร่วมทุนกับกลุ่มโทเร ประเทศญี่ปุ่น เปิดบริษัท คาร์บอน เมจิก (ประเทศไทย) จำกัด ขึ้นมาภายในสวนอุตสาหกรรมเครือสหพัฒน์ ศรีราชา  ภายใต้ทุนจดทะเบียน  590 ล้านบาท  โดยเครือสหพัฒน์ถือหุ้นในสัดส่วน 25% และกลุ่มโทเรถือหุ้นในสัดส่วน 75% เพื่อดำเนินธุรกิจคาร์บอนไฟเบอร์
 

หน้าที่หลักบริษัท คาร์บอน เมจิก จำกัด สำหรับการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย  คือผลิตคาร์บอนไฟเบอร์ในเชิงอุตสาหกรรม ที่ใช้เป็นส่วนประกอบของชิ้นส่วนที่ใช้ภายในเครื่องบิน รถแข่ง รถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถไฟ รถจักรยาน อุปกรณ์ของหุ่นยนต์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ อุปกรณ์กีฬาและสันทนาการ และผลิตภัณฑ์อื่นๆ  ซึ่งในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้จะส่งไปที่บริษัท เทโร คาร์บอน เมจิก ประเทศญี่ปุ่น เพื่อทำการประกอบชิ้นส่วนก่อนที่จะส่งมอบให้กับโรงงานต่างๆ ต่อไป โดยบริษัท โทเร คาร์บอน เมจิก นับเป็นบริษัทที่มีเทคโนโลยีชั้นสูงในการพัฒนาคาร์บอนไฟเบอร์ ซึ่งต้องใช้ความเชี่ยวชาญและมีความซับซ้อนในการผลิต

นอกจากนี้ยังมีความเชี่ยวชาญในด้านวิศวกรรมการออกแบบ งานวิศวกรรมต้นแบบ และเทคโนโลยีความเที่ยงตรงสูง มีประสบการณ์ในการออกแบบและผลิตชิ้นส่วนรถแข่ง จนได้รับการยอมรับอย่างสูงในตลาด โดยบริษัทดังกล่าวได้ผลิตพลาสติกเสริมคาร์บอนไฟเบอร์สำหรับอุตสาหกรรมทั่วไปมาอย่างต่อเนื่องไม่จำกัดเฉพาะชิ้นส่วนที่ใช้กับอุตสาหกรรมยานยนต์เท่านั้น

จากการออกมาผนึกกำลังกับพันธมิตรทางธุรกิจอย่างต่อเนื่อง  แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นที่สหพัฒน์มีต่อภาพรวมเศรษฐกิจไทยว่าจะเติบโตดีว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน  ซึ่งนอกจากเครือสหพัฒน์จะออกมาแสดงความมั่นใจในภาพรวมเศรษฐกิจไทย ด้วยการจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจแล้ว ภาคเอกชนอีกหลายบริษัทก็ออกมาแสดงความมั่นใจขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องเช่นกันไม่ว่าจะเป็น กลุ่มเซ็นทรัล  เครือเจริญโภคภัณฑ์  หรือบริษัทในเครือ นายเจริญ สิริวัฒนภักดี    

แต่ขณะเดียวกันก็ยังคงต้องติตามอย่างใกล้ชิด  ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของภัยธรรมชาติ หรือเศรษฐกิจโลก  ที่ยังคงต้องจับตาดูโดยเฉพาะทางฝั่งทวีปยุโรป  ซึ่งหลังจากสหราชอาณาจักร ประกอบด้วย   อังกฤษ เวลล์ สกอตแลนด์ และไอร์แลนด์เหนือ  ออกจากสหภาพยุโรป หรืออียู  ที่ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปได้ว่าจะจบลงอย่างไร  เนื่องจากมีบางประเทศอยากอยู่ต่อ  ไม่ว่าเหตุการณ์จะจบลงอย่างไร แต่หากมีการเตรียมแผนสำรองพร้อมไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็สามารถรับมือได้
 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 01 ก.ค. 2559 เวลา : 12:34:11
25-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 25, 2024, 10:42 pm