เมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม นายตรรก บุนนาค ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอล มาร์เก็ต บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา แถลงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งหลัง ของปี2559 แนวโน้มค่าเงินและอัตราดอกเบี้ย
ประธานคณะเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอล มาร์เก็ต บมจ.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา กล่าวถึง สภาวะตลาดการเงินหลังผลประชามติอังกฤษแยกตัวจากสหภาพยุโรป( Brexit)ว่า อัตราดอกเบี้ยทั่วโลกจะอยู่ในระดับต่ำอย่างยาวนาน ธนาคารกลางสหรัฐฯ(เฟด)อาจไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแม้แต่ครั้งเดียวในปีนี้ อย่างไรก็ตาม ผลกระทบจาก Brexit ต่อไทยมีจำกัด โดยอังกฤษคิดเป็นสัดส่วนไม่ถึง 2% ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดของไทย ระดับความรุนแรงและความผันผวนเทียบไม่ได้กับวิกฤติการเงินโลกเมื่อปี 2008 เนื่องจากปัจจุบันสภาพคล่องส่วนเกินในตลาดโลกยังมีมาก หลังธนาคารกลางสำคัญหลายแห่งใช้นโยบายผ่อนคลายทางการเงินประคับประคองเศรษฐกิจในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
แนวโน้มตลาดการเงินช่วงครึ่งหลังของปี 2559 โอกาสการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้ลดลง ขณะที่การเลื่อนเวลาขึ้นดอกเบี้ยของเฟดช่วยจํากัดการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ได้บ้าง แต่ความไม่แน่นอนของแนวโน้มเศรษฐกิจโลกจะกดดันบรรยากาศการลงทุน ในสินทรัพย์เสี่ยงเช่นกัน โดยกระแสการเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทำให้การคาดการณ์ผลเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯในเดือนพฤศจิกายนของปีนี้ซับซ้อนขึ้น ทำให้เป็นการเพิ่มความผันผวนของตลาดการเงินทั่วโลก
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยช่วงครึ่งปีหลัง 2559จะขยายตัวได้ต่อเนื่องจากช่วงครึ่งปีแรก โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจ(จีดีพี) ปีนี้จะอยู่ที่ 3% มีปัจจัยหนุนจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานภาครัฐที่ทยอยออกมา ภาคการท่องเที่ยวขยายตัวดี ภาวะภัยแล้งที่บรรเทาลงทำให้การบริโภคและกำลังซื้อจากครัวเรือนภาคเกษตรฟื้นตัวดีขึ้น ต้นทุนราคาน้ำมันและอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำ
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยลบที่มีความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจ ได้แก่ เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวเปราะบาง การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน ปัญหาเชิงโครงสร้างการส่งออกที่ต้องร่วมกันแก้ปัญหาทั้งภาครัฐและเอกชน หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงกระทบต่อการบริโภค
ในส่วนของอัตราดอกเบี้ยนโบายของไทย คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% ตลอดสิ้นปี 2559โดยเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทย( ธปท.)ยังจะใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายและจะเก็บมาตรการลดอัตราดอกเบี้ยไว้ใช้ในภาวะจำเป็น
ส่วนทิศทางค่าเงินบาทไทยในครึ่งปีหลังคาดว่าจะผันผวนเล็กน้อย โดยเคลื่อนไหวแกว่งตัวในกรอบแคบๆ และอาจแข็งค่าขึ้นในไตรมาส 3/59 ไปที่ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมามีกระแสเงินจากต่างชาติไหลเข้าในพันธบัตรระยะสั้น 1-5 ปีเป็นจำนวนมาก จากนั้นในไตรมาส 4/59 คาดว่าเงินบาทจะกลับมาอ่อนค่าเล็กน้อยที่ 35.50บาท/ดอลลาร์ ทั้งนี้ ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแข็งค่าต่อเนื่องจากเงินทุนไหลเข้า โดยอาจแข็งค่าถึง 35.25 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในไตรมาส 1ปี 2560 และอยู่ที่ระดับ 35 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในไตรมาส 2/2560
นายตรรก ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า สินค้าโภคภัณฑ์ในระยะสั้นอยู่ในทิศทางฟื้นตัว แต่โครงสร้างเศรษฐกิจโลกที่เปลี่ยนไปจะจำกัดขาขึ้นของราคาในระยะยาว สินค้าโภคภัณฑ์ซึ่งอิงกับการบริโภคมีแนวโน้มสดใสกว่าวัตถุดิบซึ่งใช้ในการผลิตภาคอุตสาหกรรม ในขณะที่จีนปรับโมเดลการเติบโต
สำหรับผลกระทบที่มีผลต่อตลาดการเงินไทยพอสมควร ธนาคารแนะนำให้ผู้ประกอบการปิดความเสี่ยงเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนของตนเองในการทำการติดต่อค้าในช่วงครึ่งปีหลังที่สถานการณ์ของอัตราแลกเปลี่ยนยังมีความผันผวนอยู่
ข่าวเด่น