ในที่สุดคณะรัฐมนตรีก็มีมติอนุมัติมาตรการภาษีส่งเสริมสินค้า 1 ตำบล 1 ผลิตภัณฑ์ หรือ โอท็อป โดยสามารถหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับการซื้อสินค้าโอท็อป ระหว่างวันที่ 1 ส.ค. - 31 ส.ค. นี้ ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่รวมกันทั้งหมดแล้วไม่เกิน 15,000 บาท
ซึ่งนายพรชัย ฐีระเวช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) ระบุว่า หลักเกณฑ์และเงื่อนไขในการเข้าเกณฑ์ดังกล่าว จะต้องเป็นสินค้าโอท็อป ที่ได้รับการรับรองและลงทะเบียนกับกรมการพัฒนาชุมชน และเป็นรายจ่ายในการซื้อสินค้าโอท็อป ให้กับผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม และได้รับใบกำกับภาษีเต็มรูปแบบ ในระหว่างวันที่ 1 ส.ค. - 31 ส.ค. นี้ โดยใบกำกับภาษีต้องระบุรายการว่าเป็นสินค้าโอท็อป
ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ในภาพรวมต่อเศรษฐกิจของประเทศ ผ่านการใช้จ่ายของประชาชนในการซื้อผลิตภัณฑ์โอท็อป และกระจายรายได้เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจในท้องถิ่น และชุมชน ซึ่งเป็นเศรษฐกิจ ระดับฐานรากที่มีห่วงโซ่อุปทานที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก รวมทั้งยังเป็นการจูงใจให้ผู้ประกอบการเข้าสู่ระบบภาษีผ่านการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ซึ่งปัจจุบันมีผู้ประกอบการร้านค้า โอท็อปทั้งหมด 4 หมื่นราย แต่จดทะเบียนแวตเพียง 400 ราย หรือคิดเป็นร้อยละ 1 เท่านั้น
ทั้งนี้ ปัจจุบันตลาดของผลิตภัณฑ์ OTOP มีมูลค่าทางเศรษฐกิจค่อนข้างสูงรวมกว่า 100,000 ล้านบาทต่อปี โดยมีประเภทสินค้าจำนวนกว่า 80,000 รายการ และมีส่วนในการสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในระดับฐานราก รวมถึงเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ
ขณะที่ พันเอกนาฬิกอติภัค แสงสนิท ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน(องค์การมหาชน) หรืออ.พ.ท. เห็นว่า มาตรการดังกล่าว ไม่สามารถสร้างรายได้สู่ชุมชนฐานรากอย่างแท้จริง เพราะร้านค้าชุมชนจำนวนมาก ไม่สามารถออกใบกำกับภาษีได้ แต่รายได้ที่เกิดกับชุมชนจะเป็นทางอ้อม ด้วยการขายสินค้าได้ผ่านพ่อค้าคนกลาง ที่นำไปขายตามห้างสรรพสินค้า สนามบิน ร้านค้าชื่อดังมากกว่า เพราะสินค้าที่จะขายในสถานที่ดังกล่าวได้ จะต้องผ่านมาตรฐานจากหน่วยงานที่ตรวจสอบก่อน
นอกจากนี้ ยังเห็นว่าระยะเวลาการลดหย่อนภาษี สั้นไป ควรสนับสนุนมาตรการนี้ไปจนถึงสิ้นปี เพื่อขยายโอกาสสร้างรายได้ ช่วยให้เงินในชุมชนหมุนเวียนมากขึ้นในช่วงเศรษฐกิจยังซบเซา
ขณะที่รัฐบาลคาดว่า จะมีเงินหมุนเวียน จากมาตรการนี้ในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1 หมื่นล้านบาท และช่วยให้มีการเกิดประโยชน์ในห่วงโซ่อุปทาน รวมทั้งช่วยเพิ่มการจ้างงานในชุมชนมากขึ้น
ข่าวเด่น