การตลาด
สกู๊ป.....ไดกิ้นเปิดเกมรุกปลุกตลาดอาเซียน






 


เครื่องปรับอากาศไดกิ้นถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่หันมาให้ความสำคัญกับการทำตลาดในภูมิภาคอาเซียน  เนื่องจากเป็นตลาดเปิดใหม่ที่มีความต้องการสินค้าทุกกลุ่ม และเครื่องปรับอากาศก็ถือเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่มีความต้องการสูง  ประกอบกับปัจจุบันเศรษฐกิจในยุโรปยังมีปัญหา เช่นเดียวกับประเทศจีน  ขณะที่ความต้องการเครื่องปรับอากาศของประเทศญี่ปุ่น  ซึ่งเป็นบริษัทแม่เจ้าของแบรนด์ความต้องการก็เริ่มอิ่มตัว  จึงทำให้หลายบริษัทต้องเล็งขยายธุรกิจไปในภูมิภาคอื่นๆ  และอาเซียนก็ถือเป็นภูมิภาคที่มีศักยภาพและมีความต้องการมากที่สุด 
 

ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าว บริษัทแม่ของเครื่องปรับอากาศไดกิ้นที่ประเทศญี่ปุ่น  จึงเล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน  ด้วยการออกมาประกาศวิชั่นในการดำเนินธุรกิจเทงบลงทุนในภูมิภาคอาเซียนถึง 15,000 ล้านบาท  สร้างโรงงานใหม่ในประเทศเวียดนาม  และขยายโรงงานในที่ดินเดิมใน จ.ระยอง ประเทศไทย  เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในประเทศนั้นๆ และการส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในประเทศต่างๆ ทั่วโลก
 

นายฮิโตชิ  ทานากะ  ผู้จัดการใหญ่  บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์ จำกัด  กล่าวว่า   แนงทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้บริษัทแม่จะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจในภูมิภาคอเมริกาเหนือ  และเอเชีย  โอเชียเนียมากขึ้น  เนื่องจากภูมิภาคดังกล่าวยังมีช่องว่างให้เข้ามาทำตลาดเครื่องปรับอากาศได้อีกมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชีย โอเชียเนีย  ซึ่งในปีงบประมาณ2559  (เม.ย. 2559-มี.ค.2560)  บริษัทได้เตรียมงบประมาณ  15,000 ล้านบาท แบ่งเป็น การลงทุนสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศในเมืองฮานอย  ประเทศเวียดนาม  10,000  ล้านบาท  และการลงทุนขยายโรงงานคอมเพรสเซอร์ที่ จ.ระยอง  ประเทศไทย อีกประมาณ  5,000 ล้านบาท  เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต
 

ในส่วนของการเข้าไปลงทุนสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศในประเทศเวียดนาม  ปัจจัยหลัก คือ ความต้องการเครื่องปรับอากาศในประเทศเวียดนามมีสูงมาก  ส่งผลให้ยอดขายเครื่องปรับอากาศภายในบ้านของไดกิ้น  ซึ่งนำเข้ามาจำหน่ายจากประเทศไทยมีอัตราการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่อง  จากปัจจัยดังกล่าวจึงทำให้บริษัทแม่ตัดสินใจที่จะใช้งบก้อนโตลงทุนขยายธุรกิจสร้างโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศในประเทศเวียดนาม  เพื่อลดการส่งออกสินค้าจากประเทศไทย  เนื่องจากปัจจุบันประเทศไทยมีกำลังการผลิตเครื่องปรับอากาศเต็ม 100%  แล้ว

อย่างไรก็ดี  ขณะนี้ความคืบหน้าของการก่อสร้างยังอยู่ระหว่างการเตรียมความพร้อม คาดว่าเร็วๆนี้น่าจะได้ข้อสรุปและเริ่มดำเนินการก่อสร้างได้  ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าโรงงานผลิตเครื่องปรับอากาศในประเทศเวียดนามน่าจะแล้วเสร็จพร้อมเดินสายการผลิตสินค้าได้ประมาณปี 2561 โดยในส่วนของกำลังการผลิตที่ได้จะเน้นทำตลาดในประเทศเวียดนามเป็นหลัก  เนื่องจากอีก 1-2 ปีข้างหน้าหรือประมาณปี 2561 คาดการณ์ว่าภาพรวมยอดขายเครื่องปรับอากาศในประเทศเวียดนามน่าจะมีความต้องการสูงถึง 1 ล้านเครื่อง เพิ่มขึ้นจากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะมีความต้องการอยู่ที่ประมาณ 7 แสนเครื่อง
 

สำหรับการขยายโรงงานผลิตคอมเพรสเซอร์ในประเทศไทย  บริษัทให้ความสำคัญเป็นอย่างมากเช่นกัน  เพราะถือเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญในการรองรับการขยายตัวของธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ  โดยเฉพาะตลาดอินเวอร์เตอร์ ซึ่งมีแนวโน้มความต้องการเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะประหยัดพลังงานได้ดีกว่าเครื่องปรับอากาศทั่วไป  ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวคนไทยจึงเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องปรับอากาศที่มีระบบอินเวอร์เตอร์มากขึ้น  เบื้องต้นคาดวาการก่อสร้างโรงงานผลิตคอมเพรสเซอร์ที่ จ.ระยอง น่าจะแล้วเสร็จพร้อมเริ่มเดินสายการผลิตได้ประมาณปี 2561 
 
 

 
 
 
ด้านนายสมพร จันกรีนภาวงศ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สยามไดกิ้นเซลส์  กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยนับจากนี้จะให้ความสำคัญกับการขยายธรุกิจในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องจากการถือครองเครื่องปรับอากาศในตลาดต่างจังหวัดมีสัดส่วนเพียง 22-23% เท่านั้น ซึ่งถือว่ายังน้อยมากเมื่อเทียบกับตลาดในกรุงเทพฯที่มีการถือครองอยู่ที่ประมาณ 50%  โดยในส่วนของกลยุทธ์ที่บริษัทจะใช้ทำในตลาดต่างจังหวัด คือ  การขยายศูนย์บริการไดกิ้นไปตามภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ จากเดิมมีเพียงในกรุงเทพฯอย่างเดียว เพื่อให้การขาย และการบริการหลังการมีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น

ทั้งนี้  ในส่วนของของการขยายศูนย์บริการไดกิ้นไปในปีนี้  ไดกิ้น  มีแผนที่จะขยายศูนย์บริการไปตลาดต่างจังหวัดทั้งหมด  3 สาขา ประกอบด้วย ภูเก็ต  ขอนแก่น และเชียงใหม่  หลังจากเน้นจะทยอยขยายไปตามหัวเมืองสำคัญต่างๆ เพิ่มเติม เช่น นครราชสีมา อุบลราชธานี นครสวรรค์ หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี ระยอง และราชบุรี ซึ่งแต่ละสาขาคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ  8-10  ล้านบาท  และจากแนวทางการขยายศูนย์บริการดังกล่าว ไดกิ้นคาดว่าภายในปี 2561 น่าจะมีศูนย์บริการเปิดครบ 10 สาขาทั่วประเทศ

ส่วนแผนการขยายร้านไดกิ้น โปรช็อปนั้น   ไดกิ้น มีแผนที่จะจับมือกับดีลเลอร์ขยายร้านไดกิ้น โปรช็อป ซึ่งเป็นร้านจำหน่ายเครื่องปรับอากาศไดกิ้นโดยเฉพาะไปยังจังหวัดต่างๆให้ครบ 76 จังหวัดทั่วประเทศ โดยภายในปี 2563 คาดว่าจะมีร้านไดกิ้น โปรช็อป เปิดให้บริการไม่ต่ำกว่า 100 สาขา ภายใต้งบลงทุนสาขาละประมาณ 2  ล้านบาท ซึ่งงบลงทุนดังกล่าวจะเป็นการลงทุนของดีลเลอร์ โดยแนวทางการดำเนินธุรกิจบริษัทจะให้ความความรู้ความเข้าใจกับการเปิดร้านไดกิ้นโปรช็อปมากขึ้น เนื่องจากการเปิดร้านดังกล่าวนอกจากจะมีความสวยงามและทัยสมัยแล้วยังสามารถสร้างยอดขายได้มากกว่าร้านขายเครื่องปรับอากาศทั่วไป โดยในส่วนของร้านที่เป็นไดกิ้น โปรช็อป จะมียอดขายเติบโตประมาณ 30% ขณะที่ร้านทั่วไปจะมียอดขายเติบโตเพียง 10-15%  เท่านั้น  

สำหรับแผนการทำตลาดไดกิ้น ยังคงเดินหน้าเปิดตัวสินค้าใหม่ที่มีคุณสมบัติอันโดดเด่นและนวัตกรรมที่พัฒนาขึ้นแบบเหนือคู่แข่ง เพื่อความเย็นสบายโดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง  เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านสารทำความเย็น R32 รายแรกในไทยตั้งแต่ปี 2557  กับเครื่องปรับอากาศภายในบ้านทุกรุ่น ซึ่งใช้พลังงานอย่างคุ้มค่า พร้อมทั้งช่วยลดภาวะโลกร้อนและไม่ทำลายชั้นบรรยากาศ ทำให้ตลาดเริ่มเปลี่ยนมาใช้สารทำความเย็น R32 และมีผู้ผลิตเครื่องปรับอากาศหลายรายได้เริ่มเปลี่ยนมาใช้ สารทำความเย็น R32 ซึ่งมั่นใจได้ในคุณภาพการผลิตเครื่องปรับอากาศที่ใช้สารทำความเย็น R32 ซึ่งมีระบบอินเวอร์เตอร์ที่ใช้คอมเพรสเซอร์ แบบสวิง และระบบควบคุมความชื้นรายเดียวในไทย เช่น  รุ่นอูรุซาระ (Urusara 7) ที่มีสารทำความเย็นพิเศษ ประหยัดไฟ และไม่ทำลายโอโซนลดภาวะเรือนกระจก  
 
นอกเหนือจากความเป็นผู้นำในเรื่องของนวัตกรรมแล้ว  ไดกิ้น ยังมีความโดดเด่นในเรื่องของดีไซน์การออกแบบที่ผสานเทคโนโลยี  การันตีด้วยรางวัล “Red Dot Design Award” จากประเทศเยอรมนี ในรุ่นเอกิระ (Ekira) ด้วยดีไซน์เรียบหรูเข้ากับทุกการตกแต่ง มีระบบตาอัจฉริยะ  แผ่นกรองอากาศดับกลิ่น ยับยั้งเชื้อโรค กระจายลมเย็นสามมิติ ทำงานเงียบ และเชื่อมต่อด้วย Wifi เพื่อตอบโจทย์ที่พักอาศัยยุคใหม่  ซึ่งจากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าวไดกิ้นมั่นใจว่าจะสามารถมีส่วนแบ่งการตลาดเครื่องปรับอากาศเป็นอันดับ 1 ในอนาคตอันใกล้นี้ 

ส่วนเป้าหมายรายได้สิ้นปีนี้ ไดกิ้น คาดว่าจะอยู่ที่ 11,000 ล้านบาท  เติบโต 22% จากปี 2558 ที่มีรายได้ประมาณ 9,000  ล้านบาท  แบ่งเป็นยอดขายในกรุงเทพฯ 60% ต่างจังหวัด 40% และหลังจากบริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจและทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องคาดว่าสิ้นปี 2563 จะมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 22,000  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ประมาณ 1 เท่าตัว  ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าว ไดกิ้น คาดว่าจะมียอดขายในประเทศไทยที่มาจากตลาดในกรุงเทพฯ ประมาณ  27%   และต่างจังหวัด 73%  







 

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 22 ก.ค. 2559 เวลา : 11:41:51
26-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 26, 2024, 12:35 am