KGI ได้รับการปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กร จากทริสเรทติ้ง จากระดับ “BBB-" สู่ระดับ “A-” ด้วยแนวโน้ม “Stable" หรือ “คงที่" โดยอันดับเครดิตของบริษัทสะท้อนถึงความมีเสถียรภาพและการกระจายตัวทางธุรกิจของบริษัทฯ รวมถึงการสนับสนุนทางธุรกิจอย่างชัดเจนจากกลุ่มเคจีไอในไต้หวัน ผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัทฯ มีส่วนช่วยทำให้บริษัทฯ มีชื่อเสียงในการเป็นผู้นำในนวัตกรรมทางการเงินใหม่ๆ นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงการคาดการณ์ว่าบริษัทฯ จะสามารถควบคุมความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดจากการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ การลงทุนในหลักทรัพย์ และการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินใหม่ๆ ได้
นายจื้อ–หง หลิน กรรมการอำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ KGI เปิดเผยว่า บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตองค์กรของ KGI จากระดับ “BBB+” เป็นระดับ“A-” โดยการปรับเพิ่มอันดับเครดิตในครั้งนี้ มาจากการพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่องในความมีเสถียรภาพ บริษัทฯ สามารถรักษาสถานภาพทางการตลาดในธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์และยังคงมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากรายได้ที่ไม่ได้มาจากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์ไทยยังมีความผันผวนอย่างมากก็ตาม นอกจากนี้บริษัทฯ จัดได้ว่าเป็นผู้นำในการพัฒนานวัตกรรมสินค้าใหม่ ๆ โดยมีความได้เปรียบจากการนำความรู้ทางวิศวกรรมการเงินตลอดจนประสบการณ์ของกลุ่มเคจีไอ ไต้หวัน ซึ่งอยู่ในตลาดการเงินที่มีการพัฒนามากกว่ามาใช้ในประเทศไทย การมีผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายช่วยให้บริษัทฯ สามารถดึงดูดกลุ่มนักลงทุนที่มีความต้องการบริการที่แตกต่างกันเข้ามาเป็นลูกค้าของบริษัทฯ ทั้งนี้ บริษัทฯ พยายามพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ออกมาอย่างต่อเนื่องให้ล้ำหน้าคู่แข่งเพื่อจะมีโอกาสได้รับอัตราผลกำไรที่สูงก่อนที่จะเกิดการแข่งขันมากขึ้นในตลาด
บล. เคจีไอ (ประเทศไทย) มีสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง มีความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจ ตลอดจนมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากธุรกิจอื่นนอกเหนือจากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ ตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา รายได้ค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์มีสัดส่วนต่ำกว่า 50% ของรายได้รวมของบริษัทฯ เมื่อเทียบกับค่ำเฉลี่ยอุตสาหกรรมที่ระดับ 67% การขยายฐานรายได้ในส่วนที่ไม่ได้มาจากค่าธรรมเนียมซื้อขายหลักทรัพย์ช่วยให้บริษัทฯ มีความพร้อมมากขึ้นในการรับมือกับการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นหลังการเปิดเสรีค่านายหน้าธุรกิจหลักทรัพย์ กำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์และตราสารอนุพันธ์ซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 20%-30% ของรายได้รวมในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมานั้น มาจากธุรกรรมที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการซื้อขายตราสารหนี้ ธุรกิจการซื้อคืนภาคเอกชน การออกใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ ธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด ตลอดจนการลงทุนของบริษัทฯ ในตราสารหนี้และตราสารทุน นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีรายได้ที่สม่ำเสมอจากการบริหารจัดการกองทุนของบริษัทหลักทรัพย์จัดการ
กองทุนรวม วรรณ จำกัด ซึ่งบริษัทถือหุ้นอยู่ 99% ด้วย รายได้จากธุรกิจบริหารจัดการกองทุนซึ่งคิดเป็นสัดส่วน 19% ของรายได้ทั้งหมดของบริษัทในปี 2558 ถือว่าเป็นแหล่งรายได้ที่มีความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับรายได้จากแหล่งอื่น ๆ ในธุรกิจหลักทรัพย์
การซื้อขายหลักทรัพย์ในบัญชีของบริษัททำให้บริษัทฯ มีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดในระดับหนึ่ง บริษัทฯ มีข้อมูลที่ยาวนานที่พิสูจน์ว่าบริษัทฯ มีกำไรจากการซื้อขายหลักทรัพย์อย่างต่อเนื่องทุกปี ในช่วง 9 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทฯ มีเงินลงทุนทั้งในตราสารหนี้และตราสารทุน นอกจากนี้ กำไรจากการลงทุนส่วนใหญ่เกิดจากการขายผลิตภัณฑ์ทางการเงิน อาทิ ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ และธุรกิจตราสารอนุพันธ์นอกตลาด การมีกลยุทธ์ในการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสมด้วยการออกผลิตภัณฑ์ทางการเงินเหล่านี้จะมีความเสี่ยงต่อความผันผวนของราคาหลักทรัพย์ในตลาดไม่สูงนัก สำหรับความเสี่ยงด้านเครดิตนั้น บริษัทฯ มีการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์อันนำมาซึ่งความเสี่ยงด้านเครดิตอยู่ในที่ระดับ 1,600 ล้านบาท ณ สิ้นเดือนมีนาคม 2559 คิดเป็น 3% ของการให้สินเชื่อเพื่อซื้อหลักทรัพย์ของทั้งอุตสาหกรรมและคิดเป็นประมาณ 31% ของส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ
ข่าวเด่น