ผ่านไปครึ่งทางแล้วกับนโยบายลงทะเบียนคนจนของรัฐบาล ที่เริ่มตั้งแต่วันที่ 15 ก.ค.ที่ผ่านมา และจะสิ้นสุดในวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ซึ่งนายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ย้ำว่า กระทรวงการคลัง จะไม่ขยาย ระยะเวลาการลงทะเบียนเพื่อรับสวัสดิการของรัฐในรอบปี 2559 ที่เปิดรับลงทะเบียนมาตั้งแต่วันที่ 15 กรกฎาคม และจะ โดยยอดล่าสุด มีผู้เข้ามาลงทะเบียนแล้วกว่า 1.93 ล้านราย จากเป้าหมายที่คาดว่ามีผู้มา ลงทะเบียนประมาณ 5 ล้านราย
โดยคาดว่าในช่วงที่เหลือก่อนปิดรับลงทะเบียนเชื่อว่า ประชาชนจะทยอยเข้ามาลงทะเบียนกันมากขึ้น ส่วนที่ยังไม่ทราบหรือมาลงทะเบียนไม่ทัน ก็จะสามารถเข้ามาลงทะเบียนได้อีกครั้งในปีถัดไป ที่จะเปิดลงทะเบียนทุกปีในช่วงเดือนกันยายน ซึ่งเป้าหมายของการลงทะเบียนดังกล่าว เนื่องจากทางการต้องการทราบข้อมูลคนยากจน คนพิการ และผู้สูงอายุว่ามีเท่าไร มีรายได้ มีหนี้สินอย่างไรบ้าง
นายอภิศักดิ์ ตันติวรวงศ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังจะนำข้อมูลการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐ มาประกอบการพิจารณาสวัสดิการรัฐในอนาคต ทั้งในส่วนรถเมล์ รถไฟฟรี เพิ่มเบี้ยยังชีพคนชราให้มากกว่าเดือนละ 600 บาท โดยจะมีการเชื่อมระบบการจ่ายสวัสดิการภาครัฐกับอีเพย์เมนต์ เพื่อจ่ายสวัสดิการผ่านบัตรหรือใส่เข้าบัญชีผู้รับสวัสดิการโดยตรง อาทิ กรณีรถเมล์ รถไฟฟรี ถ้าคนที่มีรายได้น้อยกว่า 300 บาท อาจมีส่วนลดหรือขึ้นฟรี หากจ่ายด้วยบัตรในระบบอีเพย์เมนต์
ซึ่งรายงานข่าวจากกระทรวงการคลัง ระบุว่า ในปี 2552-2557 รัฐบาลมีโครงการเพื่อสวัสดิการและโครงการประชานิยม ประมาณ 18 โครงการวงเงินกว่า 3.88 แสนล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนถึง 15% ของงบประมาณประจำปี และถ้าดูเฉพาะโครงการที่เกี่ยวกับเพิ่มรายได้และลดจ่ายมีถึง 11 โครงการ เช่น กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง กองทุนสตรี พักชำระหนี้ จำนำพืชผลทางการเกษตร ประกันรายได้เกษตรกร มีการใช้งบถึง 1.44 แสนล้านบาท ถ้าเน้นเฉพาะคนจนจะใช้งบประมาณเพียง 5.6 หมื่นล้านบาท ดังนั้น หากมีข้อมูลและออกแบบการช่วยเหลือคนจนที่ตรงจุด จะทำให้ประหยัดงบประมาณถึง 8.8 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินดังกล่าวสามารถนำไปลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานหรือจ่ายสวัสดิการเพิ่มให้คนจนได้
และหากดูเฉพาะเบี้ยยังชีพคนชราพบว่า ในปี 2557 ผู้สูงอายุรับเบี้ยยังชีพประมาณ 7.1 ล้านคน เป็นคนจนเพียง 20% ที่เหลือ 80% ไม่ใช่คนจน ทำให้ในปีที่ผ่านมารัฐบาลใช้งบประมาณจ่ายเบี้ยยังชีพให้ผู้สูงอายุกว่า 6.3 หมื่นล้านบาท ดังนั้น หากจ่ายให้เฉพาะคนจนจริงๆ จะสามารถเพิ่มเบี้ยยังชีพให้คนชราอีก โ ดยก่อนหน้านี้กระทรวงการคลังเคยมีแนวคิดจะไม่จ่ายเบี้ยคนชราให้กับคนที่มีรายได้เกินกว่าเดือนละ 9 พันบาท และมีสินทรัพย์กว่า 3 ล้านบาท คาดว่าจะประหยัดงบปีละ 1 หมื่นล้านบาท แต่ได้รับการต่อต้าน จึงต้องนำแนวทางการลงทะเบียนและการจ่ายตรงมาใช้แทน
ด้าน นายพรชัย ฐีระเวช รองผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) บอกว่า ที่ผ่านมามีข้อมูลว่า มีคนชราที่เสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังได้รับเบี้ยยังชีพเป็นแสนราย ดังนั้นการลงทะเบียนจะทำให้ภาครัฐมีข้อมูลสำหรับจัดสรรงบประมาณช่วยเหลือด้านสวัสดิการได้อย่างตรงเป้าหมายมากยิ่งขึ้น
ขณะที่มาสเตอร์โพลล์ พบว่า แกนนำชุมชนส่วนใหญ่มีความพอใจโครงการลงทะเบียนคนจน โดยมั่นใจจะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อยได้จริง แต่อาจเป็นดาบสองคมทำให้ประชาชนบางกลุ่มไม่กระตือรือร้นในการทำมาหากินเพราะมีรัฐอุ้ม ซึ่งแกนนำชุมชนมากกว่าร้อยละ 90 (ร้อยละ 95.2) ระบุมีความพึงพอใจต่อรัฐบาลที่ได้จัดตั้งโครงการลงทะเบียนเพื่อสวัสดิการแห่งรัฐนี้ขึ้นมา ขณะที่มีเพียงร้อยละ 4.8 เท่านั้นที่ระบุไม่พอใจ
และแกนนำชุมชนส่วนใหญ่ประมาณ 2 ใน 3 หรือร้อยละ 78.1 เชื่อมั่นว่าโครงการดังกล่าวจะช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเรื่องค่าใช้จ่ายของประชาชนผู้มีรายได้น้อยได้จริง ขณะที่แกนนำชุมชนที่เหลืออีกร้อยละ 21.9 ระบุไม่เชื่อมั่น โดยให้เหตุผลว่า เพราะหลักเกณฑ์และรายละเอียดยังไม่เพียงพอ /เคยมีโครงการลักษณะแบบนี้มาแล้วแต่ความเป็นอยู่ของประชาชนก็เหมือนเดิม/ไม่มีอะไรเป็นหลักประกันว่าจะทำสำเร็จ/ไม่มั่นใจในกระบวนการคัดกรองว่าเป็นคนจนหรือไม่จน นอกจากนี้บางส่วนยังระบุว่าอาจเป็นการเพิ่มปัญหาให้กับประเทศเพราะถ้าประชาชนได้รับความช่วยเหลือบ่อยๆ ก็จะทำให้เกิดความเคยตัว
ข่าวเด่น