ภายหลังการลงประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญซึ่งมีสัดส่วน 61.4% ของผู้มาใช้สิทธิ์ออกเสียง ซึ่งผลการลงประชามติดังกล่าว ในมุมมองของภาครัฐและเอกชน ต่างก็เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อประเทศ โดยนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี เชื่อว่า เป็นสัญญาณที่ดีที่เอื้อต่อการตัดสินใจลงทุนภาคเอกชนเพิ่มขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาต่างประเทศอาจยังไม่เชื่อมั่นในการเมืองไทย แต่เมื่อประชามติผ่านมีโรดแมพที่นำไปสู่การเลือกตั้งที่ชัดเจน น่าจะทำให้ต่างชาติโล่งใจ และมีความมั่นใจมากขึ้น ซึ่งฝ่ายเศรษฐกิจจะเดินหน้าทำงานในโครงการต่างๆ ที่เคยประกาศไว้อย่างเต็มที่ในช่วงระยะเวลาที่เหลือประมาณอีก 1 ปีข้างหน้า
ด้านนายสุวิทย์ เมษินทรีย์ รมช.พาณิชย์ เชื่อว่าหลังจากประชามติผ่านความเห็นชอบจะส่งผลดีให้การขับเคลื่อนงานด้านเศรษฐกิจเป็นไปในทิศทางที่ดี เพราะถือเป็นเสียงของประชาชนที่จะกำหนดเป็นกติกาของประเทศต่อไป ซึ่งย่อมส่งผลให้เห็นสัญญาณที่เป็นบวก ต่างชาติน่าจะยอมรับไทยมากขึ้น
ส่วนการเปลี่ยนแปลงหลังจากนี้จะไปสู่กระบวนการเลือกตั้ง ซึ่งจะมีความชัดเจนในเรื่องทั้งการเมืองและเศรษฐกิจ โดยในด้านเศรษฐกิจจะส่งผลให้เห็นความเชื่อมั่นทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งในระยะสั้นจะเห็นสัญญาณที่ดีในตลาดทุน ส่วนระยะยาวก็จะมีแนวโน้มที่เป็นบวก และส่งผลต่อการตัดสินใจในการลงทุนได้มากขึ้น
ทั้งนี้ ในภาพรวมเชื่อว่าจะส่งผลให้ GDP ในระยะปานกลางและระยะสั้น หรือในช่วง 6 เดือนถึง 1 ปีน่าจะดีขึ้น แม้ GDP ในระยะสั้นอาจจะยังไม่เห็นผลในทันที แต่เชื่อว่าการลงทุนจะปรับตัวดีขึ้น ในช่วง 3-6 เดือนหลังจากนี้ รวมถึงจะมีส่วนช่วยทำให้การจับจ่ายของประชาชนรวมถึงการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น
มุมมองด้านตลาดทุน นางวรวรรณ ธาราภูมิ ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) ก็เชื่อมั่นว่า การเมืองไทยจะมีเสถียรภาพมากขึ้น โดยประเมินว่ากระแสเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นไทยและตลาดหุ้นเกิดใหม่ต่อเนื่อง โดยคาดว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจจะดีกว่าตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว และมีกำไรต่อหุ้นอยู่ในระดับที่ดี
อีกทั้งตลาดตราสารหนี้ในต่างประเทศให้ผลตอบแทนอยู่ในระดับต่ำ เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีให้ผลตอบแทน 1.5% ส่วนพันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น 10 ปี ให้ผลตอบแทน -0.8% ขณะที่ตลาดหุ้นเกิดใหม่ เช่นพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 10 ปี ให้ผลตอบแทน 1.98% พันธบัตรอินโดนีเซีย 10 ปี ให้ผลตอบแทน 6.9% และพันธบัตรรัฐบาลฟิลิปปินส์ให้ผลตอบแทน 3.2%
สำหรับขั้นตอนที่จะเกิดขึ้น นายปณิธาน วัฒนายากร ที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง กล่าวว่า หลังจากที่ผลประชามติออกมาอย่างเป็นทางการแล้ว การดำเนินการของรัฐบาลจะมุ่งเน้นไปที่การการเดินหน้าสู่โรดแมปช่วงที่ 3 ทั้งเรื่องของการเลือกตั้งซึ่งถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ , การทำกฎหมายลูก ซึ่งแนวทางของรัฐบาลหลังจากนี้ แบ่งออกเป็น 3 แนวทาง คือ
1. การเปิดพื้นที่การพูดคุยกับพรรคการเมืองให้เตรียมตัวการเลือกตั้ง และการจัดระเบียบการเปิดพื้นที่ ความมั่นคงความเรียบร้อยต่างๆ 2.เร่งรัดเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหาที่คั่งค้าง การออกกฎหมาย การปรับโครงสร้างของการขับเคลื่อนทั้ง5 ชุด การเร่งสะสางงานเพื่อส่งมอบงานให้รัฐบาลใหม่ และ 3. งานด้านการต่างประเทศที่ต้องอธิบาย เพราะผลที่ออกมาต่างประเทศกับคนไทยยังคิดต่างกัน และปีหน้าเมื่อมีการเลือกตั้ง ต้องได้รับการยอมรับจากนานาชาติ
ข่าวเด่น