หลังจากบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าซื้อกิจการบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เมื่อ 8 ปีที่ผ่านมา เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจในด้านของเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์ และธุรกิจอาหาร ซึ่งจะเน้นไปในด้านของร้านอาหารญี่ปุ่น ล่าสุดเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาก็ได้มีการตั้งบริษัทลูก ภายใต้ชื่อ ฟู้ด ออฟ เอเชีย เพื่อขยายธุรกิจอาหารอย่างจริงจังอีกครั้ง เนื่องจากธุรกิจอาหารเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพและมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก
ขณะเดียวกันก็ได้มีการดึงนางนงนุช บูรณะเศรษฐกุล มานั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย จำกัด เนื่องจากมีความชำนาญในเรื่องของธุรกิจอาหาร เพราะนอกจากจะเคยร่วมงานกับ บริษัท ยัมเรสเทอรองสต์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ดูแลแบรนด์พิซซ่าฮัทแล้ว ยังเคยร่วมงานกับบริษัท แมคโดนัลด์ ประเทศไทย จำกัด มาอีกด้วย จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ถึงเลือกนงนุชเข้ามาร่วมงานคุมทัพธุรกิจอาหาร
ทั้งนี้ เพื่อให้ธุรกิจอาหารมีความแข็งแกร่งมากขึ้น ล่าสุดบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ได้มีการร่วมทุนกับบริษัท Mei-Xin (International) Limited ในเครือแม็กซิม กรุ๊ป (Maxim’s Group) ผู้ประกอบการร้านอาหารที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกง ตั้งบริษัทแม็กซ์ เอเชีย จำกัด ในประเทศไทย เพื่อดำเนินธุรกิจอาหารที่ไม่อยู่ในภาพลักษณ์อาหารญี่ปุ่น เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นมีบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด(มหาชน) เป็นผู้ดูแลธุรกิจอยู่แล้ว
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ หลังจากบริษัทได้ตั้งบริษัทลูกภายใต้ชื่อ ฟู้ด ออฟ เอเชีย(Food of Asia : FOA) เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา ภายใต้งบลงทุนหลักร้อยล้านบาท เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจอาหาร และล่าสุดได้ร่วมกับบริษัท Mei-Xin (International) Limited ในเครือแม็กซิม กรุ๊ป(Maxim’s Group) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการธุรกิจอาหารที่ใหญ่ที่สุดในฮ่องกงก่อตั้งบริษัท แม็กซ์ เอเชีย (Max Asia) ในประเทศไทย เพื่อดำเนินธุรกิจอาหารที่ไม่ใช่ร้านอาหารญี่ปุ่น บริษัทมั่นใจว่าการจับมือร่วมกันในครั้งนี้จะเอื้อประโยชน์ต่อการดำเนินธุรกิจอาหารของบริษัทเป็นอย่างมาก เนื่องจากแม็กซิมกรุ๊ปเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในฮ่องกง แต่ยังไม่เคยเข้ามาขยายธุรกิจในภูมิภาคอาเซียน และจากวิสัยทัศน์ในการทำงานที่ตรงกัน เชื่อว่าจะร่วมกันขยายธุรกิจอาหารในประเทศไทยให้แข็งแกร่งได้อย่างแน่นอน
หลังจากมีความพร้อมในด้านของการดำเนินธุรกิจอาหาร บริษัท ไทยเบฟฯ ก็ประกาศแนวทางในการดำเนินธุรกิจอาหารนับจากนี้ว่า จะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจอาหารในแนวเพื่อสุขภาพ และตรงกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคมากขึ้น เนื่องจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้บริโภคยุคปัจจุบันให้ความสำคัญในเรื่องของการกิน และการดื่ม ซึ่งบริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย จะเป็นธุรกิจที่เข้ามาเติมเต็มให้กับธุรกิจอาหารของบริษัทที่ไม่เกี่ยวกับอาหารญี่ปุ่น เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวมีบริษัท โออิชิ กรุ๊ป ทำตลาดอยู่แล้ว
ปัจจุบันธุรกิจอาหารภายใต้การดูแลของบริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย มีอยู่ด้วยกันหลายแบรนด์ ประกอบด้วย ร้านอาหารจีนหม่าน ฟู่ หยวน ร้านโซ อาเซียน (So Asean) ซึ่งจะเป็นร้านอาหารไทยและอาเซียน ร้านฟู้ด สตรีท(Food Street) จะเป็นร้านกาแฟที่มีการบริหารแบบฟู้ดคอร์ท ซึ่งหลังจากร่วมทุนกับแม็กซิม กรุ๊ป ล่าสุดบริษัท ฟู้ด ออฟ เอเชีย มีแผนที่จะเปิดร้านเบเกอรี่จำหน่ายเค้ก และทาร์ต จากฮ่องกง ที่ศูนย์การค้าสยามพารากอน เป็นสาขาแรกในเดือนก.ย.นี้
อย่างไรก็ดี ถึง แม้ว่าบริษัท ไทยเบฟฯ จะให้ความสำคัญกับธุรกิจอาหาร แต่ภายใต้วิชั่น 2020 บริษัทยังเน้นการดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลักในการสร้างรายได้ไม่ว่าจะเป็น สุรา หรือเบียร์ เนื่องจากการขยายธุรกิจอาหารยังเป็นเพียงการเริ่มต้นธุรกิจเท่านั้น ประกอบกับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาภาพรวมของเบียร์ช้างมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เห็นได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นมาจนใกล้เคียงคู่แข่งหลัก หลังจากปรับภาพลักษณ์เบียร์ช้างไปเมื่อ ส.ค. 2558 และจากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าวบริษัทจะยังคงเดินหน้าทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สิ้นปีมียอดขายตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
นอกจากนี้ยังมีแผนที่จะดึงแบรนด์ร้านอาหารและภัตตาคารชื่อดังอย่างภัตตาคารแม็กซิม พาเลซ (Maxim’s Palace) ภัตตาคารอาหารจีนแบรนด์ เจด การ์เด้น (Jade Garden)มาเปิดให้บริการในประเทศไทย รวมไปถึงการขยายสาขาร้านหม่าน ฟู่ หยวน สาขา2 ที่ศูนย์การค้าดิ เอ็มควอเทียร์ และเข้าไปบริหารฟู้ดคอร์ทภายในห้างค้าปลีกอีกประมาณ 2-3 สาขา ซึ่งเบื้องต้นมีความเป็นไปได้ว่า จะเข้าไปบริหารฟู้ดคอร์ทภายในห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ ที่เพิ่งซื้อกิจการมาจากกลุ่มคาสิโน
แม้ว่าบริษัท ไทยเบฟฯ จะให้ความสำคัญกับธุรกิจอาหาร แต่ภายใต้วิชั่น 2020 ยังเน้นการดำเนินธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นหลักในการสร้างรายได้ไม่ว่าจะเป็น สุรา หรือเบียร์ เนื่องจากการขยายธุรกิจอาหารยังเป็นเพียงการเริ่มต้นธุรกิจเท่านั้น ประกอบกับตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาภาพรวมของเบียร์ช้างมีแนวโน้มที่ดีขึ้น เห็นได้จากส่วนแบ่งทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นมาจนใกล้เคียงคู่แข่งหลัก หลังจากปรับภาพลักษณ์เบียร์ช้างไปเมื่อ ส.ค. 2558 และจากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าวบริษัทจะยังคงเดินหน้าทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สิ้นปีมียอดขายตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
จากเป้าหมายการดำเนินธุรกิจดังกล่าว บริษัท ไทยเบฟฯ ได้วางเป้าหมายรายได้ในกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มว่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า1 เท่าตัวหรือมียอดขายประมาณ 3 แสนล้านบาทในปี 2563 เมื่อเทียบกับปี 2556 ที่มียอดขายอยู่ที่กว่า 1.5 แสนล้านบาท เนื่องจากปัจจุบันบริษัท ไทยเบฟฯ มีบริษัทในเครือที่คอยขับเคลื่อนยอดขายในกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มอย่างแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะเป็นบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ (เอฟแอนด์เอ็น),บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เบฟเวอเรจ โฮลดิ้งส์ ลิมิเต็ด (IBHL) ,บริษัท .โออิชิ กรุ๊ป หรือบริษัท .เสริมสุข รวมไปถึงบริษัท ไทยเบฟฯ ที่จำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งจากความแข็งแกร่งดังกล่าวบริษัทไทยเบฟคาดการณ์ว่าในแต่ละปีนับจากนี้จะมีรายได้จากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอล์และนอนแอลกอฮอล์เติบโตไม่ต่ำกว่า 12-15%
นายฐาปน กล่าวว่า จากผลประชามติที่ออกมาว่าประชาชนส่วนใหญ่ให้การยอมรับร่างรัฐธรรมนูญและคำถามพ่วงนั้น ถือได้ว่าเป็นการสะท้อนความพึงพอใจความเชื่อมั่นและความมั่นใจที่ประชาชนที่มีต่อรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ซึ่งถึงแม้ว่าขณะนี้ภาพรวมเศรษฐกิจจะยังไม่เติบโตมากนัก แต่ก็มีแนวโน้มที่ดีขึ้น โดยเฉพาะครึ่งปีหลังที่คาดการณ์ว่าผู้บริโภคจะออกมาจับจ่ายใช้สอย และภาคเอกชนหันมาลงทุนขยายธุรกิจมากขึ้น ซึ่งในส่วนของบริษัท ซึ่งเป็นบริษัทในเครือทีซีซี กรุ๊ป ของนายเจริญ สิริวัฒนภักดี ก็มีความมั่นใจเช่นกัน และพร้อมที่จะเดินหน้าขยายการลงทุนต่อเนื่อง เพราะมั่นใจในศักยภาพของประเทศไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่มีเศรษฐกิจเติบโตไม่แพ้ชาติใดในโลก ซึ่งในส่วนของประเทศไทยเองก็มีภูมิศาสตร์ที่ดี คือ ตั้งอยู่ศูนย์กลางของภูมิภาค และรัฐบาลก็มีนโยบายส่งเสริมการลงทุนในประเทศกลุ่มกัมพูชา ลาว เมียนมา เวียดนาม (CLMV)บวกไทย
การออกมาปักธงเปิดเกมรุกขยายธุรกิจดังกล่าว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมบริษัท ไทยเบฟฯ ถึงมียอดขายเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะนอกจากจะมีสินค้าของตัวเองที่แข็งแกร่งเป็นทุนอยู่แล้ว บริษัท ไทยเบฟฯ ยังมีพันธมิตรทางธุรกิจที่แข็งแกร่งเข้ามาช่วยเสริมทัพ แม้ว่าบางช่วงจะเซไปบ้าง แต่จากความแข็งแกร่งที่มีอยู่เป็นทุนก็กลับมาตั้งหลักได้เหมือนเดิม
ข่าวเด่น