ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา นอกจากจะส่งผลกระทบต่อภาพรวมอุตสาหกรรมโฆษณาให้มีอัตราการเติบโตติดลบอย่างต่อเนื่องจนถึงขณะนี้แล้ว ยังส่งผลให้ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ของไทยมีอัตราการเติบโตติดลบตามไปด้วยที่ประมาณ 10% เนื่องจากเจ้าของสินค้ายังคงกันลดงบในการทำกิจกรรมการตลาดในรูปแบบต่างๆ และที่เห็นได้ชัดมากที่สุดก็คือ การจัดงานอีเวนต์เพื่อเปิดตัวสินค้าใหม่ ซึ่งปีนี้เห็นกันน้อยมาก เพราะเจ้าของสินค้าส่วนใหญ่ยังไม่มั่นใจในภาพรวมเศรษฐกิจภายในประเทศ
นอกจากนี้ ปัจจัยลบเศรษฐกิจนอกประเทศที่ก็ยังดูทรงๆ จึงทำให้ผู้ประกอบการยังคงเก็บเงินไว้เพื่อรอดูสถานการณ์ ซึ่งจากปัจจัยลบที่เกิดขึ้นดังกล่าว หากกำลังซื้อของผู้บริโภคยังไม่ปรับตัวดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ภาพรวมของธุรกิจอีเวนต์ในปีนี้อาจจะยังคงอยู่ในสถานการณ์ติดลบไม่ต่ำกว่า 10% เหมือนเดิม แต่หากสถานการณ์ปรับตัวดีขึ้นตามที่หลายฝ่ายคาดการณ์ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ก็อาจจะปรับตัวดีขึ้น ด้วยการปรับลดอัตราการเติบโตติดลบจาก 10% เหลืออยู่ที่ 5% ในสิ้นปีนี้
จากแนวโน้มที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) ต้องออกมาปรับแผนการดำเนินธุรกิจอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้ได้ลดความเสี่ยงด้วยการหันมาลุยธุรกิจในกลุ่มไลฟ์สไตล์ และธุรกิจในอาเซียนมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงธุรกิจอีเวนต์ในประเทศที่ปัจจุบันยังอยู่ในภาวะขาลง
สำหรับธุรกิจใหม่ที่บริษัท อินเด็กซ์ฯ คือการสร้างสรรค์โปรเจคยักษ์ ‘อนาเธอร์เวิล์ด’ (AnotherWorld) ที่สุดแห่งประสบการณ์ร่วมในงานดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ‘อีดีเอ็ม มิวสิค เฟสติวัล’ (EDM Music Festival) รูปแบบใหม่ ผสมผสานไลฟ์สไตล์ ศิลปะ แฟชั่น และดนตรี เพื่อต่อยอดกลุ่มธุรกิจธุรกิจไลฟสไตล์ เอ็กซ์พีเรียนส์ (Lifestyle Experience) ด้วยการจับมือกับผู้นำแห่งวงการแฟชั่นระดับตำนาน ‘แอร์ คำรณ ปราโมช ณ อยุธยา’ และกูรูแห่งวงการดนตรี และเอ็นเตอร์เทนเมนท์เมืองไทย ‘โต๊ด วุฒิพันธุ์ ด่านทวีศิลป’ ร่วมสร้างสรรค์โปรเจคยักษ์ดังกล่าว
นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากแนวโน้มของภาพรวมของอุตสาหกรรมเพลงประเภทอิเล็กทรอนิกส์ แดนซ์ มิวสิค (Electronic Dance Music) หรือ อีดีเอ็ม (EDM) ทั่วโลกที่มีอัตราเติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องที่ประมาณ 50% ตลอดระยะเวลากว่า 4 ปีที่ผ่านมา ส่งผลให้ปัจจุบันอุตสาหกรรมเพลงอีดีเอ็มมีมูลค่าตลาดรวมอยู่ที่ประมาณ 7,100 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 248,000 ล้านบาท ส่งผลให้ตลาดเพลง ศิลปิน ดีเจ งานคอนเสิร์ตต่างๆ และมีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว
นอกจากนี้ ยังมีการขยายตัวมายังฝั่งภูมิภาคเอเซีย เห็นได้จากความนิยมแนวเพลงอีดีเอ็มที่ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลให้ปัจจุบันมีมูลค่าตลาดเพลงอีดีเอ็มในภูมิภาคเอเชียมีมูลค่ากว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 35,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 15% จากตลาดทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศอินเดียถือเป็นตลาดอีดีเอ็มที่มีขนาดใหญ่ที่สุด ตามด้วยสิงคโปร์ และเกาหลี ส่วนจีนถือว่าเป็นอีดีเอ็ม เวฟ (EDM wave) ลูกใหม่ที่น่าจับตามอง และกำลังมาแรงมากในตอนนี้
ส่วนในภูมิภาคอาเซียนก็มีแนวโน้มการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเช่นกัน โดยเฉพาะตลาดในประเทศไทย สังเกตได้จากช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมาอุตสาหกรรมเพลงอีดีเอ็มในประเทศไทยมีอัตราการเติบโตสูงถึงปีละ 200-300% ทำให้ปัจจุบันตลาดเพลงดังกล่าวมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1,000 ล้านบาท เนื่องจากมีคอมมูนิตี้คนรักอีดีเอ็มเกิดขึ้น และขยายตัวสู่วงกว้าง ทั้งในเรื่องไลฟสไตล์ และพฤติกรรมของกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบดนตรี และในด้านการตลาด เพราะปัจจุบันเริ่มมีแบรนด์สินค้าต่างๆ หันมาใช้ดนตรีแนวอิเล็กทรอนิกส์ในการสื่อสารแบรนด์ จัดงานอีเว้นท์ และงานคอนเสิร์ตมากขึ้น
จากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวบริษัท อินเด็กซ์ฯ จึงเล็งเห็นโอกาส ด้วยการตั้งกลุ่มธุรกิจภายใต้ชื่อ ‘AT ME’ แอทมี’ หรือ แอ๊บโซลูทลี่ ทรู มิวสิค เอ็กซ์พีเรี่ยนส์ (ABSOLUTELY TRUE MUSIC EXPERIENCE) ขึ้นมา เพื่อสร้างสรรค์ที่สุดแห่งการสัมผัสประสบการณ์งานดนตรีอิเล็กทรอนิกส์ ‘อีดีเอ็ม มิวสิค เฟสติวัล’ (EDM Music Festival) รูปแบบใหม่ ด้วยการแบ่งรูปแบบธุรกิจออกเป็น 2 ส่วน คือ 1.โอน คอนเซ็ปต์ (Own concept) สร้างสรรค์งานด้วยการนำเสนอใหม่ที่มีเอกลักษณ์ และเป็นแนวทางของตัวเอง และ 2.คอนเสิร์ต ไลเซ่น (Concert-license) นำเข้างานอีดีเอ็มชื่อดังจากต่างประเทศ เพื่อสร้างความบันเทิงเต็มรูปแบบ
สำหรับคอนเสิร์ตแรกที่จะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พ.ย. นี้ จะจัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘อนาเธอร์เวิล์ด’ (AnotherWorld) อีดีเอ็ม เฟสติวัล (EDM Festival) จะเป็นการผสมผสานความสนุกที่ไม่ใช่แค่ในเรื่องของดนตรีหรือแนวเพลง แต่จะเป็นการรวบรวมความเป็นที่สุดของนวัตกรรมดนตรีในแบบฉบับอีดีเอ็มยุคใหม่ ทั้งไลฟสไตล์ (Lifestyle) ความมันส์ ผสมผสานการเต้นรำอย่างสนุกสนานแบบงานเฟสติวัล (Festival ) รวมความพร้อมในด้านความบันเทิง อาหาร เครื่องดื่ม การตกแต่งสถานที่ บรรยากาศที่เต็มไปด้วยความสนุก ทั้งนี้ในส่วนของแนวดนตรีที่จะเกิดขึ้น จะมีดีเจชื่อดังจากทั่วโลกเดินทางมาร่วมสร้างประสบการณ์ความสนุก และที่ขาดไม่ได้กับโปรดักชั่นระดับมืออาชีพ ทั้งแสง สี เสียง เทคนิค ทุกส่วนล้วนเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญเติมเต็มงานให้มีความสมบูรณ์แบบ
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า คอนเสิร์ตที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ถือเป็นการทดลองธุรกิจ ก่อนที่จะเริ่มธุรกิจอย่างจริงจังในปี 2560 ซึ่งบริษัทมีแผนที่จะโรดโชว์ส่งออก อีดีเอ็ม เฟสติวัล (EDM Festival) เข้าไปในประเทศต่างๆในภูมิภาคอาเซียน โดยในเฟสแรกจะเริ่มต้นที่เมืองย่างกุ้ง ประเทศพม่า และเมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ซึ่งแต่ละประเทศบริษัทมีแผนที่จะเข้าไปจัดคอนเสิร์ตอีดีเอ็ม เฟสติวัล ประมาณ 4 ครั้งต่อปี เช่นเดียวกับในประเทศไทยที่มีแผนจะจัด 4 ครั้งต่อปีเช่นกัน
ส่วนที่เฟส 2 บริษัท อินเด็กซ์ฯ คาดว่าจะเริ่มได้ในปีต่อไป โดยมองการจัดงานไว้ที่ประเทศกัมพูชา ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งแต่ละประเทศจะมองการจัดงานไว้ที่ประมาณ 4 ครั้งต่อปีเช่นกัน โดยการจัดงานในแต่ละครั้งคาดว่าจะใช้งบลงทุนเบื้องต้นไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาท ส่วนรายได้ของแต่ละประเทศจะเป็นอย่างไรนั้น บริษัท อินเด็กซ์ฯ ยังไม่กล้าที่จะประเมินตัวเลขออกมา เนื่องจากอัตราค่าบัตรเข้าชมของแต่ละประเทศค่อนข้างมีความแตกต่างกัน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าขณะนี้จะยังไม่สามารถประเมินรายได้จากกลุ่มธุรกิจคอนเสิร์ต อีดีเอ็ม เฟสติวัลได้ แต่หลังจากจบจบการจัดงานอีดีเอ็มในปี 2560 บริษัท อินเด็กซ์ฯ มั่นใจว่าจะสามารถขึ้นเป็นผู้นำการจัดงานอีดีเอ็มของภูมิภาคตอาเซียนได้อย่างแน่นอน เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มีผู้ประกอบการเข้ามาทำธุรกิจดังกล่าวอย่างจริงจังและต่อเนื่อง มีเพียงการจัดงานเฉพาะแค่ช่วงเทศกาลสำคัญเท่านั้น เนื่องจากการลงทุนในการจัดงานค่อนข้างสูง
หลังจากหันมาลดความเสี่ยงในการดำเนินธุรกิจ ด้วยการหันมาให้ความสำคัญกับ กลุ่มธุรกิจไลฟ์สไตล์ และธุรกิจอาเซียนมากขึ้น บริษัท อินเด็กซ์ฯ มั่นใจว่าสิ้นปี 2560 น่าจะมีสัดส่วนรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้คือ 6-7% เมื่อเทียบกับปี 2558 ที่รายได้อยู่ที่ประมาณ 1,700 ล้านบาท ในมูลค่าดังกล่าวบริษัท อินเด็กซ์ฯ เป็นรายได้ที่มาจากธุรกิจอาเซียนประมาณ 7% และในปี 2560 หลังจากรุกขยายธุรกิจคอนเสิร์ตอีดีเอ็ม เฟสติวัลมากขึ้น คาดว่าจะมีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 10% อย่างแน่นอน
ข่าวเด่น