นับตั้งแต่ประเทศไทยขึ้นค่าจ้าง ขั้นต่ำ (สำหรับแรงงานแรกเข้า) เมื่อเดือนเมษายน 2555 จำนวน 7 จังหวัด คือ กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล 5 จังหวัด และจังหวัดภูเก็ตเป็น 300 บาท และขึ้นจังหวัดที่เหลือเป็น 300 บาทเท่ากันทั่วประเทศ ทำให้ทุกจังหวัดมีค่าจ้างเท่ากั นต่อเนื่องมาอีก 2 ปี คือ ปี 2557-2558 โดยไม่มีการขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ เพื่อเปิดโอกาสให้สถานประกอบการ มีการปรับตัวกับค่าจ้าง ซึ่งผลปรากฏว่า ในภาพรวมยังมีแรงงานทั่วประเทศไ ม่ได้รับค่าจ้างขั้นต่ำ 2.11 ล้านคน หรือ 14.8% โดยส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่ทำงานอ ยู่ในสถานประกอบการที่มีคนทำงาน ไม่เกิน 50 คน ((1-9 คน (33.6%) 10-49 (12%)) แสดงให้เห็นว่า สถานประกอบการขนาดเล็กยังไม่สาม ารถปรับตัวจ่ายค่าจ้างเต็ม 300 บาทได้เป็นจำนวนมาก
ตารางที่ 1 ร้อยละของแรงงานยังไม่ได้ค่าจ้าง 300 บาท ปี 2558
ถ้าพิจารณาเป็นรายภาคจะเห็นว่า ภาคใต้ ภาคเหนือ ภาคตะวันตก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ สถานประกอบการขนาดเล็ก 1- 50 คน ยังปรับตัวได้ไม่ค่อยดีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมากระจายอยู่ทุกภาคถ้า พิจารณาลึกลงไปถึงจังหวัดที่ยัง ไม่สามารถปรับตัวได้ดีในการจ่าย ค่าจ้างขั้นต่ำ 10 ลำดับแรก ได้แก่
1) นราธิวาส (67%) 2) แม่ฮ่องสอน (58%) 3) ปัตตานี (55%) 4) ยะลา (55%) 5) ตรัง (52%) 6) ตาก (48%) 7) สตูล (48%) 8) กำแพงเพชร (47%) 9) แพร่ (46%) และ 10) ระนอง (4.3%) เป็นต้น
จริงอยู่แม้ว่าจะมีความพยายามจา กตัวแทนฝ่ายสหภาพแรงงานนอกระบบเ รียกร้องตั้งแต่ต้นปลายปี 2558 เพื่อขอขึ้นค่าแรงขั้นต่ำหลายครั้ งจนถึงปัจจุบัน แต่คณะกรรมการค่าจ้างแห่งชาติก็ ยังขอเวลาตรวจสอบข้อมูลจากคณะกรรมการค่าจ้างจังหวัดต่อเนื่ องมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว พบว่า จังหวัดที่มีความพร้อมที่จะเห็น ด้วยที่จะให้ขึ้นค่าจ้างมีมากขึ้ นเป็นหลัก 10 จังหวัด (ไม่ทราบจำนวนชัดเจน)
ถ้าพิจารณาถึงเหตุผลที่สมควรปรั บขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ คงเป็นเหตุผลด้านค่าครองชีพ ถ้าพิจารณาจากดัชนีค่าครองชีพจะ ขึ้นทุกปี แต่จะขึ้นไม่เท่ากัน ขอเน้นว่าไม่เท่ากันในแต่ละจังห วัด เช่น ทั่วประเทศ CPI เพิ่ม 6% นนทบุรีเพิ่ม 9% กระบี่ 4% เป็นต้นซึ่งผลก็คือ จะทำให้ค่าเงิน 300 บาทที่เคยได้รับ เมื่อถ่วงน้ำหนักด้วยค่าครองชีพ ที่สูงขึ้น ทำให้อำนาจซื้อของแรงงานลดลงทุก ปี
แต่ก็มีปัจจัยที่ไม่สนับสนุนการ ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำมีหลายปัจจัย เช่น ดัชนีความสามารถในการจ่ายของนาย จ้างยังไม่ดี โดยเฉพาะตัวเลขการส่งออก ทำท่าว่าจะติดลบหรือเป็นบวกเล็ก น้อยมาหลายปีรวมทั้งปีนี้ ตัวเลขการขยายตัวของเศรษฐกิจยัง ไม่ค่อยดี ยังอยู่ในภาวะฟื้นตัวช้า และควันหลงจากการขึ้นค่าจ้างขั้ นต่ำเท่ากันทั่วประเทศก็ยังไม่ห มดไป เป็นต้น
ดังนั้น ข้อเสนอส่วนตัวของผู้เขียนคือ ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจการส่งออกจะยั งไม่ดี ถ้าจะรอให้พร้อมแรงงานที่ต้องพึ่งการขึ้นค่าแรงโดยอาศัยค่าจ้างขั้ นต่ำเป็นฐานในการขึ้นค่าแรงอาจจ ะจนลงไปอีก จึงเสนอว่า ขอให้รัฐบาล (คณะกรรมการค่าจ้างแห่งชาติ) พิจารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำโดยอั ตโนมัติตามสภาวะของค่าเฉลี่ยดัช นีค่าครองชีพในช่วง 3 ปีที่ผ่านมาให้กับแรงงานทุกจังห วัดโดยอัตโนมัติ (ของขวัญปีใหม่) เนื่องจาก CPI แต่ละจังหวัดไม่เท่ากันค่าจ้างขั้ นต่ำที่ปรับจะไม่เท่ากันในแต่ ละจังหวัด
ทั้งนี้การปรับค่าจ้างขั้นต่ำนี้ไม่ใช่การขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำใหม่ แต่เป็นการปรับค่าจ้างขั้นต่ำที่ ได้ขึ้นไปแล้วเพื่อให้แรงงานมี อำนาจซื้อเท่าเดิมเท่านั้นซึ่ งไม่ต้องพึ่งคณะกรรมการค่าจ้ างแห่งชาติมากนักเพียงแต่ช่วยพิ จารณาปรับค่าจ้างขั้นต่ำตาม CPI ก็น่าจะพอ ส่วนจะขึ้นค่าจ้างเพิ่มเติมจากค่ าจ้างขั้นต่ำที่ปรับค่าครองชี พแล้ว (การขึ้นค่าจ้างประจำปี) เป็นเรื่องของผู้ประกอบการหรือน ายจ้างที่จะพิจารณากันต่อไปเองโ ดยคณะกรรมการค่าจ้างฯคงไม่ต้ องไปยุ่งด้วยและจะให้ดียิ่งขึ้ นไปอีกนายจ้างก็ควรขึ้นค่าจ้ างตามความสามารถหรือสมรรถนะของแ รงงานมากกว่าเป็น competency-base pay ก็จะทำให้ทั้งแรงงานและนายจ้างมี ความพึงพอใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย
ข่าวเด่น