สกู๊ป... ค่ายน้ำเมาสิงห์-ช้างเปิดเกมรุกตลาดอาเซียน
นอกจากจะแข่งขันกันในตลาดประเทศไทยกันอย่างดุเดือดสำหรับ 2 ค่ายน้ำเมายักษ์ใหญ่อย่าง สิงห์ กับ ช้าง ในด้านของตลาดต่างประเทศก็ยังแข่งขันกันอย่างดุเดือดอีกด้วย เห็นได้จากการออกมาเปิดวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจระยะยาวจนถึงปี 2020 หรือปี 2563 ที่ทั้ง 2 บริษัทต้องการที่จะอยู่ในอันดับต้นๆ ของตลาดในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งกลยุทธ์ที่นำมาใช้ก็มีทั้งการส่งออกสินค้าทั้งในกลุ่มแอลกอฮอล์และนอนแอลกอฮอล์เข้าไปในทำตลาดในภูมิภาคอาเซียน รวมไปถึงการเข้าไปสร้างโรงงานหรือซื้อโรงงาน เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจสำหรับการบุกตลาดอาเซียน
ในส่วนของบริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น ล่าสุดออกมาประกาศนโยบายการดำเนินธุรกิจปี 2020 ด้วยการเดินหน้าขยายธุรกิจในเครือทุกกลุ่ม เพื่อให้ทุกธุรกิจเติบโตไปพร้อมๆ กัน แต่กลุ่มที่จะให้ความสำคัญเป็นพิเศษ คือ กลุ่มสินค้านอนแอลกอฮฮล์ เนื่องจากปัจจุบันกลุ่มธุรกิจดังกล่าวมีแนวโน้มการเติบโตดีกว่ากลุ่มธุรกิจแอลกอฮอล์ ซึ่งเจอปัญหาการทำธุรกิจในหลายด้าน
อย่างไรก็ดี แม้ว่าจะปรับลดความสำคัญการทำธุรกิจแอลกอฮอล์ โดยเฉพาะตลาดในประเทศ แต่ในด้านของตลาดต่างประเทศ บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น ยังคงเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องโยเฉพาะตลาดประเทศเพื่อนบ้านอย่างซีแอลเอ็มวี เนื่องจากเป็นตลาดที่มีศักยภาพ เพราะมีประชากรรวมกันมากกว่า 200 ล้านคน ดังนั้นจึงมีแผนที่จะนำสินค้ากลุ่มแอลกอฮอล์เข้าไปทำตลาดในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนามมากขึ้น
นายจุตินันท์ ภิรมย์ภักดี กรรมการรองผู้จัดการใหญ่ บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า ภายใน 4 ปีนับจากปี 2560-2563 บริษัทจะให้ความสำคัญกับการขยายธุรกิจสินค้านอนแอลกอฮอล์มากขึ้น ด้วยการเพิ่มสัดส่วนรายได้จาก 20% เป็น 35% ของรายได้รวม ซึ่งปัจจุบันกลุ่มสินค้าแอลกอฮอล์ยังคงสร้างสัดส่วนรายได้หลักให้กับบริษัทคิดเป็นอัตราส่วนอยู่ที่ประมาณ 80% เนื่องจากกลุ่มธุรกิจนอนแอลกอฮอล์มีแนวโน้มการขยายตัวดีกว่า ซึ่งจากแนวทางดังกล่าวบริษัทคาดว่าจะสามารถปรับลดสัดส่วนรายได้จากธุรกิจแอลกอฮออล์ในปี 2563 ให้เหลืออยู่ที่ 65% ได้อย่างแน่นอน
จากแนวทางดังกล่าว ล่าสุดบริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น มีแผนที่จะใช้งบลงทุน 4,800 ล้านบาท ในการสร้างนิคมอุตสาหกรรมอาหารแปรรูป บนพื้นที่กว่า 2,000 ไร่ จ.อ่างทอง ภายใต้โครงการ “World Food Valley Thailand” แบ่งเป็นพื้นที่พัฒนา 1,300 ไร่ ที่เหลืออีกประมาณ 800 ไร่ จะเป็นพื้นที่สาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐาน เบื้องต้นบริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จะให้กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารที่อยู่ในเครือจำนวน 8 บริษัทเข้าไปลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว ขณะเดียวกันก็มีผู้ประกอบการนอกเครือบริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น สนใจเข้ามาสอบถามข้อมูลเช่าพื้นที่ลงทุนแล้วกว่า 100 ราย โดยเฉพาะนักลงทุนจากประเทศญี่ปุ่น คาดว่าการพัฒนาพื้นที่จะแล้วเสร็จภายใน 3 ปี และเห็นผลการลงทุนชัดเจนภายใน 5 ปี
นายจุตินันท์ กล่าวต่อว่า การลงทุนนิคมอุตสาหกรรม ถือเป็นธุรกิจใหม่ จากปัจจุบันมีธุรกิจ 5 กลุ่ม คือ 1.เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2.อสังหาริมทรัพย์ 3.บรรจุภัณฑ์ 4.โลจิสติกส์ และ 5.อาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งกลุ่มสิงห์มีธุรกิจอาหารมากกว่า 8 บริษัท จากในเครือ 100 บริษัท เบื้องต้นลงทุน 800 ล้านบาท สร้างโรงไฟฟ้ากำลังผลิต 115 เมกะวัตต์ในนิคมฯ และสามารถเพิ่มเป็น 150 เมกะวัตต์ รวมทั้งได้สร้างโรงงานผลิตน้ำมันรำข้าวขึ้นมา เพื่อทำธุรกิจน้ำมันพืช ซึ่งแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าวถือเป็นการเปิดโอกาสให้กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและย่อม(เอสเอ็มอี) หรือนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนสร้างโรงงาน เพราะไทยเป็นศูนย์กลางการส่งออกอาเซียน
หลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจในเครืออย่างต่อเนื่อง บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น คาดว่าจะมีรายได้ในสิ้นปีนี้อยู่ที่ประมาณ 1 แสนล้านบาท เติบโตอยู่ในภาวะทรงตัว เนื่องจากตลาดเบียร์กว่า 1.3 แสนล้านบาทไม่เติบโต จึงทำให้รายได้ของบริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น ชะลอตัวไปได้ เพราะรายได้หลักในขณะนี้ยังมาจากกลุ่มธุรกิจแอลกอฮอล์ อย่างไรก็ดี หลังจากเริ่มหันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจนอนแอลกอฮอล์มากขึ้น คาดการณ์ว่าในปี 2 ปีนับจากนี้น่าจะมีรายได้รวมขยับขึ้นเป็น 2 แสนล้านบาทอย่างแน่นอน
ขณะที่บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น กำลังจัดทัพลุยขยายธุรกิจนอนแอลกอฮอล์ พร้อมกับวางแผนเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน ในส่วนของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด(มหาชน) ก็เดินหน้าขยายธุรกิจรุกตลาดอาเซียนตามนโยบาย 2020 เช่นกัน โดยล่าสุดได้เตรียมใช้งบ 5,000-8,000 ล้านบาท ลุยขยายธุรกิจเครื่องดื่มในอาเซียน เพื่อหวังนั่งแท่นผู้นำยักษ์ใหญ่ในภูมิภาค
นายฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในปีนี้บริษัทมีแผนที่จะใช้ลงทุนประมาณ 5,000-8,000 ล้านบาท จากงบรวมที่เตรียมไว้ 30,000 ล้านบาท สำหรับการขยายธุรกิจภายใต้แผนลงทุนระหว่างปี 2558-2563 เพื่อลงทุนในส่วนของเครื่องจักร ระบบกระจายสินค้า และทำการตลาดภายในภูมิภาคอาเซียน นื่องจากบริษัทมีเป้าหมายที่จะติดอันดับ 1 ใน 5 ของ บริษัทยักษ์ใหญ่ธุรกิจเครื่องดื่มของเอเชียในปี 2563 จากปัจจุบันอยู่ในอันดับ 7
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 ที่บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ สามารถเปิดเผยได้ในตอนนี้ คือ การขยายธุรกิจเบียร์เข้าไปในประเทศเวียดนาม และฟิลิปปินส์ เพื่อให้การส่งออกเบียร์ช้างมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นมากกว่า 15% ขณะเดียวกันบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ยังมีความสนใจที่จะเข้าซื้อกิจการเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในเวียดนาม พร้อมกับศึกษาการลงทุนสร้างโรงงานที่ประเทศพม่า รวมไปถึงการส่งออกเหล้า และบรั่นดี ไปในยังประเทศต่างๆ ทั่วอาเซียน ส่วนเครื่องดื่มนอนแอลกอฮอล์จะเน้นทำตลาดที่ประเทศมาเลเซีย
นอกจากจะให้ความสำคัญกับธุรกิจเครื่องดื่มแล้ว ในส่วนของธุรกิจโรงแรง ร้านอาหาร และธุรกิจค้าปลีก บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ ก็จะหันมาให้ความสำคัญมากขึ้นเช่นกัน ด้วยการจัดตั้งบริษัท เพื่อขยายช่องทางจำหน่ายร้านอาหาร โรงแรมในไทย รองรับกับการขยายตัวของธุรกิจวิสกี้ระดับบนจำนวน 2 แบรนด์ ซึ่งมีแผนที่จะเข้ามาทำตลาดในช่วงปลายปี 2559 นี้
นายฐาปน กล่าวอีกว่า ในส่วนของธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮฮล์ บริษัทมีแผนที่จะกระจายสินค้าเข้าไปยังช่องทางจำหน่ายร้านค้าปลีกรายย่อยให้ครอบคลุม 2. 7 แสนร้านค้าทั่วประเทศ ด้วยการใช้หน่วยรถจำนวน 2,000 คันกระจายสินค้า เนื่องจากบริษัทมีเป้าหมายที่จะทำให้เบียร์ช้างขึ้นเป็นผู้นำตลาดอีกครั้งในปี 2563 จากปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 30%
ส่วนภาพรวมผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตเล็กน้อย มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 84,697 ล้านบาท เติบโต 4.5% มีกำไรสุทธิ 12,438 ล้านบาท หรือเติบโต 8.2% ซึ่งหลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง บริษัท ไทนเบฟเวอเรจ คาดว่านับตั้งแต่ปี 2560-2563 จะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ต่อเนื่องทุกปี หรือมีรายได้กว่า 7 แสนล้านบาท ในปี 2563 จากปี 2558 ที่ผ่านมารายได้อยู่ที่ประมาณ 162,000 ล้านบาท
จากนโยบายการดำเนินธุรกิจดังกล่าวของ 2 ยักษ์ค่ายน้ำเมา เชื่อว่าในปี 2563 ธุรกิจของประเทศไทยน่าจะผงาดสร้างชื่อในภูมิภาคอาเซียนได้อย่างแน่นอน เพราะแต่ละบริษัทมีความมั่งมั่นที่จะเข้าไปขยายธุรกิจในทุกรูปแบบไม่ว่าจะเป็นกลุ่มสินค้าแอลกอฮอล์ หรือนอนแอบกอฮอล์ แต่จะประสบความสำเร็จแค่ไหนคงต้องรอวัดกันที่ฝีมือ ควบคู่ไปกับปัจจัยภายนอกอย่างปัจจัยลบทางการเมืองและเศรษฐกิจ เพราะทั้ง 2 ปัจจัยยากที่จะควบคุม
ข่าวเด่น