ในที่สุดคณะกรรมการความรับผิดทางละเมิด ก็มีมติเกี่ยวกับการรับผิดชอบความเสียหายที่เกิดขึ้นจากโครงการรับจำนำข้าวของอดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยนายมนัส แจ่มเวหา อธิบดีกรมบัญชีกลาง ในฐานะประธานคณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจำนำข้าว เปิดเผยว่า คณะกรรมการความรับผิดทางแพ่ง ได้พิจารณาสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เนื่องจากมีความประมาทร้ายแรงก่อให้เกิดความเสียหายในการรับจำนำข้าว วงเงิน 178,000 ล้านบาท แบ่งเป็น 2 ฤดูการผลิต ในปี 55/56 และปี 56/57 จึงได้พิจารณาการรับผิดตามกฎหมายกำหนดให้อดีตนายกรัฐมนตรี รับผิดชอบเฉพาะตัวแต่เพียงผู้เดียวในสัดส่วนร้อยละ 20 ของมูลค่าความเสียหาย 178,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นวงเงินต้องรับผิดชอบทั้งสิ้น 35,717 ล้านบาท
ซึ่งคณะกรรมการได้สรุปความเห็นความเสียหายจากโครงการรับจำนำข้าวเปลือก โดยพิจารณาแล้วเห็นว่า เมื่อสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ สตง. และคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ได้ส่งหนังสือท้วงติง จะเกิดความเสียหายจากการรับจำนำข้าวเปลือกแล้ว แต่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ยังเดินหน้ารับจำนำข้าวต่อไปอีก ถือเป็นการจงใจที่ไม่ระงับยับยั้งต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น และไม่ทบทวนโครงการเมื่อนำหลักฐานมาพิจารณาส่งผลต่อความเสียหายต่อกระทรวงการคลัง
ส่วนประเด็นการดำเนินนโยบายรับจำนำข้าวตามที่หาเสียงเลือกตั้งและรายงานต่อสภานั้น ถือว่าไม่มีความผิด แต่เป็นความผิดที่เกิดขึ้นในด้านผู้บังคับบัญชาในการเดินหน้ารับจำนำข้าวต่อไป ซึ่งต้องระวังความเสียหายที่เกิดขึ้น ส่วนความเสียหายในสัดส่วนร้อยละ 80 ที่เหลืออยู่นั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องรับไปดำเนินการพิจารณาขั้นต่อไป เมื่อมีการชี้มูลความผิดเพิ่มเติม เบื้องต้นพบว่ามีหลายบุคคลเกี่ยวข้อง มีการส่งเรื่องมาให้คณะกรรมการพิจารณาความรับผิดทางแพ่งเรียกค่าเสียหายจำนำข้าวดำเนินการเอาผิดต่อไป ซึ่งยังมีอายุความดำเนินคดีเอาผิด 10 ปี นับตั้งแต่ปี 2554
ทั้งนี้คณะกรรมการความรับผิดทางละเมิด ซึ่งประกอบด้วย ตัวแทนอัยการสูงสุด กฤษฏีกา สตง. ตัวแทนกระทรวงการคลัง และได้ส่งต่อไปยังรองปลัดกระทรวงการคลัง เพื่อเสนอให้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังพิจารณาลงนามในขั้นต่อไป ขณะที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อรับหนังสือแล้ว สามารถยื่นต่อศาลปกครองกลาง เพื่อทุเลาคดีหรือเพิกถอนคดีดังกล่าว และขึ้นอยู่กับการพิจารณาของศาลปกครอง และยื่นให้กรมบังคับคดีดำเนินยึดทรัพย์ในขั้นต่อไป
ส่วนมุมองความคิดเห็นของประชาชน กรุงเทพโพลล์ โดยศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง ประชาชนคิดเห็นอย่างไรต่อการดำเนินคดีโครงการรับจำนำข้าว โดยเก็บข้อมูลจากประชาชน 1,150 คน ทั่วประเทศ ต่อการใช้ มาตรา 44 ให้อำนาจกับกรมบังคับคดีในการตรวจสอบคดีโครงการรับจำนำข้าว พบว่า ประชาชน ร้อยละ 63.4 เห็นด้วย เพราะจะทำให้ความจริงปรากฏเร็วขึ้น ขณะที่ร้อยละ 36.6 ไม่เห็นด้วย และควรให้ศาลยุติธรรมดำเนินคดีไปตามกระบวนการมากกว่า
เมื่อถามถึงความเห็นต่อการออกคำสั่งให้มีการยึดทรัพย์กว่า 2 หมื่นล้าน จากผู้กระทำผิด ประชาชนร้อยละ 44.2 ระบุว่าควรเพิ่มบทลงโทษอย่างอื่น นอกเหนือจากการยึดทรัพย์ รองลงมา ร้อยละ 27.7 ระบุว่าเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายที่คุ้มค่าแล้ว และร้อยละ 14.8 ระบุว่าเป็นการเรียกร้องค่าเสียหายที่น้อยไป
ข่าวเด่น