การเกิดขึ้นของทีวีดิจิทัล 24 ช่อง ส่งผลให้ธุรกิจผู้ผลิตและผู้ซื้อขายคอนเทนต์กลับมามีความคึกคักมากขึ้น โดยเฉพาะการซื้อขายคอนเทนต์จากต่างประเทศ เนื่องจากต้นทุนถูกกว่าเจ้าของช่องผลิตคอนเทนต์ขึ้นมาเอง ด้วยเหตุนี้จึงถือเป็นยุคเฟื่องฟูของธุรกิจดังกล่าว และบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย(จำกัด)มหาชน ก็เป็นหนึ่งในบริษัทที่ได้รับอานิสงส์ เพราะไม่ว่าจะซื้อคอนเทนต์อะไรมาก็ล้วนได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดีจากผู้ประกอบการในธุรกิจทีวีดิจิทัล
จากความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ปีนี้บริษัท เจเคเอ็นฯ มีการใช้งบลงทุนซื้อคอนเทนต์จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่าทุกปีที่ผ่านมา จากเดิมอาจใช้งบลงทุนซื้อคอนเทนต์เพื่อนำมาจำหน่ายต่อปีละประมาณ 300-400 ล้านบาท ปีนี้ก็ปรับเพิ่มขึ้นมาประมาณ 1 เท่าตัว หรือเพิ่มขึ้นเป็น 800 ล้านบาท
นายจักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด(มหาชน) เปิดเผยว่า เหตุผลที่ทำให้ปีนี้บริษัทต้องใช้งบลงทุนซื้อคอนเทนต์เพิ่มจากทุกปีที่ผ่านมา เพราะความต้องการในตลาดมีมากขึ้น โดยเฉพาะผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล เนื่องจากต้นทุนคอนเทนต์จะถูกกว่าการผลิตคอนเทนต์ขึ้นมาเองประมาณ 70-80% จึงทำให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลเลือกที่จะซื้อคอนเทนต์ของบริษัทมากกว่าที่จะทำการผลิตคอนเทนต์ขึ้นมากเอง เพราะปัจจุบันแต่ละช่องก็มีต้นทุนการใช้จ่ายค่อนข้างสูงไม่ว่าจะเป็นค่าไลเซ่น ค่าโครงข่าย ค่าการบริหารจัดการ หรือค่าต้นทุนพนักงาน
ดังนั้นการซื้อคอนเทนต์จากผู้ประกอบการที่นำเข้าคอนเทนต์จากต่างประเทศ จึงถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือก ประกอบกับบริษัท เจเคเอ็นฯ มีคอนเทนต์ให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลเลือกอย่างหลากหลายไม่ว่าจะเป็นละคร ซีรีส์ สารคดี การ์ตูน ข่าว เกมโชว์ หรือคอนเสิร์ต จึงทำให้ผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลเลือกใช้บริการด้านคอนเทนต์ของบริษัท เจเคเอ็นฯ เพื่อประคองธุรกิจให้ผ่านวิกฤติช่วงตั้งเนื้อตั้งตัวนี้ให้ได้
นายจักรพงษ์ กล่าวต่อว่า ก่อนหน้านี้กลุ่มลูกค้าหลักของเราจะเป็นผู้ประกอบการในธุรกิจเคเบิลทีวีและแซทเทลไลท์ทีวี แต่ปัจจุบันกลุ่มลูกค้าหลักกลายเป็นกลุ่มผู้ประกอบการทีวีดิจิทัล เนื่องจากธุรกิจเคเบิลทีวีและแซทเทลไลท์ทีวีอยู่ในภาวะชะละตัว จากผู้ประกอบการที่เคยมีอยู่ในธุรกิจประมาณ 200-300 ช่องปัจจุบันเหลือเพียงกว่า 100 ช่องเท่านั้น เพราะพฤติกรรมการดูทีวีของผู้บริโภคมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ประกอบกับมีฟรีทีวีให้เลือกดูได้มากถึง 22 ช่องในปัจจุบัน จาก 24 ช่อง จึงทำให้ผู้บริโภคหันมาสนใจดูทีวีดิจิทัลมากกว่าดูเคเบิลทีวีและแซทเทลไลท์ทีวี เนื่องจากมีคอนเทนต์ที่เหมือนกัน
สำหรับคอนเทนต์นำเข้าที่บริษัท เจเคเอ็นฯ ซื้อเข้ามาเพื่อจำหน่ายในปัจจุบันมีทั้งหมด 8 กลุ่ม ประกอบด้วย 1.เจเอเอ็น ออริจินัล จะเป็นกลุ่มคอนเทนต์ประเภทภาพยนตร์สารคดีที่มีการสร้างสรรค์การผลิตโดยบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย เพื่อเผยแพร่ไปยังทั่วโลก เช่น ภาพยนตร์สารคดี “My King ในหลวงของเรา” ภาพยนตร์สารคดี “My Queen พระราชินีของเรา” ซึ่งทั้ง 2 เรื่องได้มีการถ่ายทอดประราชประวัติและพระราชอัจฉริยะภาพของ 2 ประองค์
ส่วนกลุ่มที่ 2 จะเป็นเอเชียน แฟนตาซี จะเป็นการคัดเลือกความสนุกทั่วเอเชียโยเฉพาะจากประเทศเกาหลี อินเดีย และจีน มาจำหน่าย เช่น ทงอี ,ลีซาน ,ซอนต๊อก ,จูมง,แดจังกึม,มหาภารตะ ,ลิขิตรักนี้เพื่อเธอ, มาดูบาล่ามายารัก,ทุรคามหาเทวี และศิวะ พระมหาเทวี เป็นต้น กลุ่มที่ 3 ฮอลิวูด ฮิต จะเป็นละครซีรีส์ดังสุดฮิตจากฝั่งฮอลิวูด เช่น CSI ,สปาตาคัส ,Rookie Blue และ Sanctuary เป็นต้น
กลุ่มที่ 4 ไอ เมจิก เดอะ โปรเจคต์ จะเป็นสุดยอดสารคดีแบรนด์ดังระดับโลกไม่ว่าจะเป็น National Geographic, Discovery Channal หรือ History Channal จากประเทศอเมริกา และ BBC จากประเทศอังกฤษ กลุ่มที่ 5 คิด อินสไปร์ จะเป็นการ์ตูนดังขวัญใจคุณหนูๆ เช่น Marval และ Nickelodeon เป็นต้น กลุ่มที่ 6 มิวสิค สตาร์ พาราไดส์ จะเป็นคอนเสิร์ต K-POP นักร้องซุปเปอร์สตาร์ชื่อดังของประเทศเกาหลีใต้
ขณะที่กลุ่มที่ 7 ข่าว จะเป็นรายการข่าวเพื่ออัพเดทบอกเล่าเรื่องราวความเป็นที่สุดจากทุกมุมโลก เช่น รายการ Luxe today By Whan Whan เป็นต้น และปิดท้ายกลุ่มที่ 8 Super Show จะเป็นรายการวาไรตี้ทอล์คโชว์ และเรียลลิตี้โชว์ เช่น รายการ The Andrew Show รายการวาไรตี้ ทอล์คโชว์ที่ว่าด้วยเรื่องของคนและสถานที่ที่จะพาคุณไปพูดคุยและท่องเที่ยว ซึ่งนอกจากจะให้สาระความรู้และความบันเทิงแล้วยังมีการสอดแทรกเรื่องราวของแรงบัดาลใจในชีวิตภายใต้การนำเสนอจากพิธีกรนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยในส่วนของรายการดังกล่าวจะออกอากาศทางช่อง JKN Dramax
นอกจากนี้ ยังมีรายการ Dance India Dance รายการเรียลลิตี้โชว์การแข่งขันการประกวดเต้น เพื่อเฟ้นหาสุดยอดนักเต้นที่โด่งดังจากประเทศอินเดีย รายการ Dance Thailand Dance รายการประกวดเต้นที่ได้ลิขสิทธิ์โดยตรงมาจากรายการ Dance India Dance เพื่อนำมาออกอากาศในอนาคต และรายการ The Aura ผ่าเปลี่ยนชีวิต รายการที่จะเปลี่ยนชีวิตผู้ร่วมรายการให้กลายเป็นคนใหม่ผ่านปลายมีดหมอ ณ ประเทศเกาหลี้ใต้ ซึ่งรายการนี้จะเกิดขึ้นในอนาคตอีกเช่นกัน
จากความหลากหลายของคอนเทนต์ที่บริษัท เจเคเอ็นฯ มีอยู่ในมือรวมมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท นอกจากจะทำตลาดขายให้กับผู้ประกอบการทีวีดิจิทัลทั้ง 24 ช่องในประเทศไทยแล้ว ยังมีการขายให้กับผู้ประกอบการเคเบิลทีวีและแซทเทลไลท์ทีวี ผู้ประกอบการโฮมวีดีโอในรูปแบบดีวีดี และบลูเรย์ กลุ่มธุรกิจจำหน่ายสินค้าของที่ระลึก กลุ่มสื่อสิ่งพิมพ์ กลุ่ทวีดีโอออนดีมานด์ และกลุ่มธุรกิจบริการเสริม เช่น บนเครื่องบิน และรถไฟอีกด้วย
นอกจากจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดในประเทศแล้ว กลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ประกอบด้วย เวียดนาม พม่า ลาว และกัมพูชา บริษัท เจเคเอ็นฯ ก็ให้ความสนใจเข้าไปทำตลาดด้วยเช่นกัน ด้วยการปรับกลยุทธ์การซื้อลิขสิทธิ์คอนเทนต์ ทั้งภาพยนตร์ สารคดี ให้ครอบคลุมการทำตลาดใน 5 ประเทศ ได้แก่ พม่า ลาว กัมพูชา เวียดนาม และไทย นับตั้งแต่ปลายปี 2557 ที่ผ่านมาภายใต้งบลงทุนเฉลี่ย 10-15 ล้านเหรียญสหรัฐต่อปี หรือคิดเป็นมูลค่าประมาณ 350-600 ล้านบาท
นายจักรพงษ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาได้ขายลิขสิทธิ์ทั้งภาพยนตร์ สารคดี ให้แก่เจ้าของสื่อนำไปออกอากาศในประเทศพม่า ลาว กัมพูชา และเวียดนามไปบ้างแล้ว ทำให้ปัจจุบันตลาดหลักของการทำตลาดจะอยู่ใน 3 ประเทศ คือ ไทย พม่า และลาว นอกจากนี้ได้เปลี่ยนรูปแบบธุรกิจจากบีทูซี (B-to-C : Business to Consumer) เช่น แผ่นดีวีดี บลูเรย์ เป็นต้น สู่บีทูบี (B-to-B : Business to Business) โดยเน้นขายคอนเทนต์แก่เจ้าของสื่อ เช่น ฟรีทีวี เคเบิลทีวี เป็นต้น
จากธุรกิจที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ปัจจุบันบริษัท เจเคเอ็นฯ ได้มีการแตกบริษัทย่อยออกมาอีก 4 บริษัท เพื่อให้ธุรกิจมีความครบวงจรมากยิ่งขึ้น ประกอบการ บริษัท เจเคเอ็น บรอดคาสท์ จำกัด ทำหน้าที่ขายโฆษณาหาสปอนเซอร์ บริษัท เจเคเอ็น แอลไอเอส จำกัด ทำหน้าที่จัดงานออกาไนซ์ บริษัท เจเคเอ็น ชาแนล จำกัด ทำธุรกิจทีวีช่องเจเคเอ็น และบริษัท เจเคเอ็น โนวเลจ จำกัด ทำหน้าที่จัดงานสัมมนาต่างๆ ซึ่งจากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าวบริษัท เจเคเอ็นฯ มั่นใจว่าสิ้นปี 2559 นี้จะมีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ แม้ว่าปัจจุบันจะมีปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจ และกำลังซื้อ ส่วนปี 2560 บริษัท เจเคเอ็นฯ มั่นใจว่าจะมีรายได้เติบโตจากปีนี้ 30% อย่างแน่นอน เพราะปัจจุบันนอกจากจะมีธุรกิจสื่อและธุรกิจที่เกี่ยวข้องแล้วยังมีธุรกิจร้านกาแฟ และในอนาคตมีแผนที่จะเปิดธุรกิจความงาม เพื่อให้ธุรกิจมีความครบวงจรมากขึ้นอีกด้วย
ข่าวเด่น