หลังจากปล่อยให้แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับรองๆ เข้ามาเปิดตลาดในประเทศไทยมาพักใหญ่ วันนี้ “ไฮเซ่นส์” เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ของประเทศจีนพร้อมแล้วที่จะเข้ามาทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย หลังเข้าไปประเดิมตลาดในอาเซียนตอนใต้มาแล้วพักใหญ่จนสร้างแบรนด์สินค้าให้ผู้บริโภครู้จักเป็นอย่างดีไม่ว่าจะเป็นอินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ หรือบรูไน
จากความสำเร็จที่เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเซ่นส์ ได้รับจากการส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศต่างๆ กว่า 130 ประเทศทั่วโลก และประสบความสำเร็จด้วยการมียอดขายทีวี ซึ่งถือเป็นสินค้าเรือธงหลักในการสร้างรายได้ให้เป็นอันดับ 1 ของแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเซ่นส์ ไม่ว่าจะเป็นออสเตรเลีย หรือแอฟฟริกา จึงทำให้บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มีความมั่นใจว่าการเข้ามาบุกตลาดในประเทศไทยในครั้งนี้จะต้องประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีแน่นอน
น.ส.แคทลีน ฟาง รองประธาน บริษัท ไฮเซ่นส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านแบรนด์ไฮเซ่นส์ สัญชาติจีน กล่าวว่า การที่บริษัทเข้ามาทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านในประเทศไทยช้า เพราะตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านของไทยมีการแข่งขันที่รุนแรงเป็นอย่างมาก ดังนั้นบริษัทจึงต้องการที่จะสร้างความแข็งแกร่งให้กับแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านไฮเซ่นส์ ให้ประสบความสำเร็จในประเทศจีน และในอีกหลายประเทศก่อน จึงจะเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย ซึ่งช่วงเวลานี้ถือเป็นเวลาที่เหมาะสม เนื่องจากปัจจุบันเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านภายใต้แบรนด์ไฮเซ่นส์ ประสบความสำเร็จในด้านของยอดขายเป็นอย่างดีในหลายประเทศ จากการนำสินค้าเข้าไปทำตลาดใน 130 ประเทศทั่วโลก
นอกจากนี้ เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเซ่นส์ ยังมีการเข้าไปตั้งสำนักงานในประเทศต่างๆ รวมทั้งหมด 16 ประเทศทั่วโลก และประเทศล่าสุดได้เข้าไปก่อตั้งเป็นประเทศที่ 17 คือ ประเทศไทย เพื่อคอยกำกับดูแลและเป็นศูนย์กลางในการบัญชาการธุรกิจ ซึ่งในส่วนของประเทศไทยก็ได้รับมอบหมายให้เป็นศูนย์กลางของซีแอลเอ็มวี เนื่องจากในอนาคตหลังจากทำตลาดในประเทศไทยประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเซ่นส์ก็มีแผนที่จะใช้ไทยเป็นศูนย์กลางในการส่งสินค้าเข้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศซีแอลเอ็มวี ซึ่งจะประกอบไปด้วย พม่า ลาว เวีดนาม และกัมพูชา
น.ส. แคทลีน กล่าวว่า ปัจจุบัน ไฮเซ่นส์ มีศูนย์วิจัยและพัฒนาทั่วโลกรวม 13 แห่ง ได้แก่ จีน 6 แห่ง สหรัฐอเมริกา 5 แห่ง แคนาดา 1 แห่ง และเยอรมนี 1 แห่ง ถือเป็นแบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีนที่มียอดขายโทรทัศน์เป็นอันดับที่ 3 ของโลก และเป็นอันดับ 1 ในจีนถึง 13 ปีติดต่อกัน โดยในจีนมียอดขายโทรทัศน์ 10 ล้านเครื่องจากความต้องการตลาดรวม 48 ล้านเครื่อง มีรายได้รวมทั่วโลก 15.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ โดยที่ผ่านมาใช้กลยุทธ์สปอร์ตมาร์เก็ตติ้งเป็นหลัก ขณะที่ในปี 2559 ยังเป็นผู้สนับสนุนหลักอย่างเป็นทางการของการแข่งขันฟุตบอลยูโร 2016
สำหรับแนวทางการทำธุรกิจในประเทศไทย เครื่องใช้ไฟฟ้าไฮเซ่นส์ ได้นำสินค้าในกลุ่มทีวี เข้ามาเป็นสินค้าตัวแรกในการทำตลาด เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่มีความแข็งแกร่งเห็นได้จากการมียอดขายเป็นอันดับ 1 ในหลายประเทศไม่ว่าจะเป็นจีน ออสเตรเลีย หรือแอฟริกาใต้ โดยส่วนของประเทศจีน ไฮเซ่นส์ ในแต่ละปีจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 10 ล้านยูนิต จากยอดขายรวมทั้งประเทศที่ประมาณ 48 ล้านยูนิต
จากความสำเร็จดังกล่าว ทำให้ ไฮเซ่นส์ มั่นใจว่าการนำทีวีเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งนี้จะประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีเช่นกัน เนื่องจากคุณภาพของสินค้าเป็นระดับพรีเมียม และถ้าหากนำมาเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่างแบรนด์เกาหลีที่ทำตลาดในประเทศไทยก็จะอยู่ในระดับเดียวกับแบรนด์ซัมซุง แต่หากมองในด้านของราคาขาย ไฮเซ่นส์ ถือว่ามีราคาขายที่ถูกกว่าประมาณ 10%
น.ส.แคทลีน กล่าวว่า จากพฤติกรรมของผู้บริโภคชาวไทยที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และให้ความสำคัญกับทีวีที่มีดีไซน์สวยงาม นวัตกรรมการใช้งาน และสินค้าเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยเฉพาะทีวีที่มีขนาดหน้าจอใหญ่ บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสดังกล่าว จึงได้เปิดตัวทีวีจอใหญ่ขนาด 55 นิ้ว และมีความละเอียดระดับ 4K ที่สามารถมอบประสบการณ์ภาพที่คมชัดได้มากกว่าทีวีทั่วไปเข้ามาทำตลาด เพื่อเป็นอีกหนึ่งทางเลือกของผู้บริโภคชาวไทย
นอกจากนี้ เพื่อตอบโจทย์ทุกความต้องการของผู้บริโภคชาวไทย ไฮเซ่นส์จึงได้มีการนำแอลอีดีทีวีเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยให้มีขนาดหน้าจอที่หลากหลาย เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายระดับกลางถึงไฮเอนด์ โดยในส่วนของสินค้าที่นำเข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ก็จะมีตั้งแต่ขนาด 32 – 85 นิ้ว พร้อมสมาร์ทฟังก์ชั่นจัดเต็ม และนวัตกรรมหน้าจอแบบ ULED ลิขสิทธิ์เฉพาะของไฮเซ่นส์ ที่มี VIDAA ระบบปฎิบัติการอัจฉริยะ ที่ให้ผู้ใช้ใช้งานง่ายและสะดวกมากขึ้น
พร้อมกันนี้ ยังมีเทคโนโลยี HDR (High-Dynamic Range) ที่ปรับปรุงแสงสีให้สวยงามกว่าเดิมให้เห็นรายละเอียดของภาพได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น และความละเอียดสูงระดับ 4K โดยมุ่งเจาะกลุ่มเป้าหมายที่เป็นกลุ่มผู้บริโภคที่ใช้อินเตอร์เน็ต เปิดรับเทคโนโลยี ต้องการทีวีคุณภาพ ดีไซน์ที่เหนือกว่า ในราคาที่เหมาะสม
ในส่วนของช่องทางการจำหน่าย เบื้องต้น ไฮเซ่นส์ ทีวี ได้เริ่มวางจำหน่ายสินค้าในกลุ่มทีวีแล้วที่ห้างเทสโก้ โลตัส จำนวน 95 สาขาทั่วประเทศ และในเร็วๆนี้ คาดว่าจะกระจายสินค้าได้ครบ 120 สาขาทั่วประเทศในระยะแรก เพื่อเป็นการทดลองผลการตอบรับของกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก่อนที่จะมีการขยายช่องทางจำหน่ายไปยังห้างค้าปลีกอื่นๆ ซึ่งในเร็วๆ นี้ คาดว่าจะได้ข้อสรุปในส่วนของการนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในร้านเพาเวอร์บาย
น.ส.แคทลีน กล่าวอีกว่า ปัจจัยที่ทำให้บริษัทเลือกห้างเทสโก้ โลตัสเป็นช่องทางแรกในการขายสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าในเครือ เพราะห้างเทสโก้ โลตัสมีจำนวนห้างไฮเปอร์มาร์เก็ตที่กระจายอยู่ทั่วประเทศไทยมากกว่า 170 สาขา จึงถือเป็นโอกาสที่ดีในการสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก เนื่องจากการทำตลาดในช่วงแรกบริษัทจะเน้นไปที่การสร้างแบรนด์สินค้า หลังจากลูกค้าเริ่มรู้จักแบรนด์ก็จะเริ่มทำในส่วนของกิจกรรมการตลาด ซึ่งในส่วนของการลดราคาสินค้าเบื้องต้นบริษัทยังไม่มีนโยบายดังกล่าว เพราะแบรนด์สินค้า ไฮเซ่นส์ เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าระดับพรีเมียม หากใช้กลยุทธ์ดังกล่าวจะทำให้เสียภาพลักษณ์ของแบรนด์สินค้าได้
หลังจากเริ่มสร้างแบรนด์สินค้าไประยะหนึ่งในปี 2559 นี้ พอก้าวเข้าสู่ปี 2560 ไฮเซ่นส์ ก็มีแผนที่จะนำสินค้าเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านกลุ่มอื่นๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม เพื่อให้สินค้ามีความครบวงจรมากขึ้น โดยจะเริ่มที่กลุ่มสินค้าตู้เย็นและเครื่องปรับอากาศ หลังจากนั้นในปีถัดไปหากตลาดมีความพร้อมก็จะนำกลุ่มสินค้ามาร์ทโฟน ตู้แช่ และอื่นๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มเติม โดยหลังจากทำตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านในประเทศไทยครบ 1 ปี ไฮเซ่นส์ คาดว่าจะมีรายได้จากการทำธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 700-800 ล้านบาท และคาดว่าภายใน 5 ปีจากนี้จะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 3,500-4,000 ล้านบาท
การออกมาปลุกตลาดของยักษ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับ 1 ของจีนในครั้งนี้ คาดว่าคงจะทำให้แบรนด์เครื่องใช้ไฟฟ้าเกาหลี และญี่ปุ่นร้อนๆ หนาวๆ พอสมควร เพราะจากความสำเร็จที่ไฮเซ่นส์ได้รับทั่วโลก ถือเป็นเครื่องการันตีผลการตอบรับได้เป็นอย่างดี
ข่าวเด่น