สถานการณ์การลงทุนของภาคเอกชนเริ่มปรับตัวดีขึ้น หลังรัฐบาลมีนโยบายที่ชัดเจน โดยเฉพาะการสนับสนุน 10 กลุ่มอุตสาหกรรม โดยนางสาวกุลยา ตันติเตมิท รองโฆษกกระทรวงการคลัง ยืนยันว่า การลงทุนภาคเอกชนมีแนวโน้มเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยส่วนหนึ่งมาจาก มาตรการของรัฐบาลในการสนับสนุนการลงทุนในกลุ่ม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมาย ซึ่งเดือนมกราคม-กันยายน 2559 การขอรับการส่งเสริมใน 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายมีมูลค่าทั้งสิ้น 157,800 ล้านบาท คิดเป็น 43% ของมูลค่าการขอรับการส่งเสริมโดยรวม โดยเป็นการขอรับการลงทุนในอุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วน 4.2 หมื่นล้านบาท อุตสาหกรรมการเกษตร 38,500 ล้านบาท อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าอิเล็กทรอนิกส์ 28,000 ล้านบาท อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเคมีภัณฑ์ 23,000 ล้านบาท อุตสาหกรรมท่องเที่ยว 13,100 ล้านบาท และอุตสาหกรรมการแพทย์ 5,200 ล้านบาท
ทั้งนี้ในช่วงไตรมาส 4 กระทรวงการคลัง จะยังดำเนินนโยบายการคลังและการเงิน อย่างต่อเนื่อง เพื่อผลักดันเศรษฐกิจให้ขยายตัวได้ในช่วงที่เหลือของปี โดยปัจจุบันกระทรวงการคลังยังมีอีกหลายโครงการที่อยู่ระหว่างการดำเนินงานและมีเม็ดเงินที่จะอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ เช่น มาตรการสนับสนุนการเบิกจ่ายของภาครัฐในไตรมาส 4 ปี 2559 โครงการเพิ่มความเข้มแข็งของเศรษฐกิจฐานรากตามแนวทางประชารัฐ และโครงการยกระดับศักยภาพหมู่บ้านเพื่อขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากตามแนวประชารัฐประจำปีงบประมาณ 2560
นอกจากนี้ยังมีมาตรการการเงินการคลัง เพื่อส่งเสริมผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) ระยะเร่งด่วน เพื่อสนับสนุนธุรกิจเอสเอ็มอีให้สามารถแข่งขันได้ เช่น โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อปรับเปลี่ยนเครื่องจักรและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตสำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี และโครงการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อผู้ประกอบการ Micro Entrepreneurs ระยะที่ 2
ขณะเดียวกัน การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 25 ต.ค. ก็เห็นชอบการจัดทำงบประมาณรายจ่ายใหม่ประจำปี 2561 ตามยุทธศาสตร์ชาติ โดยแบ่งกลุ่มแผนงานออกเป็น 28 กลุ่ม ซึ่งมีกลุ่มงานที่เพิ่มขึ้น คือ กลุ่มงานไทยแลนด์ 4.0 กลุ่มงานเกษตร และกลุ่มงานระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC)
ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ได้เน้นย้ำว่าแม้ว่าประเทศไทยจะก้าวไปสู่ยุคดิจิทัล แต่ก็ยังจำเป็นต้องดูแลประชาชนที่เป็นรากฐานของประเทศ ดังนั้นทั้งหมดนี้ทำเพื่อเสริมเพิ่มเติมฐานรากของประเทศให้แข็งแกร่งขึ้น ซึ่งในการทำงบประมาณรูปแบบใหม่นี้ รองนายกรัฐมนตรีทั้ง 6 จะกำกับดูแลงานในสายงานของแต่ละคน โดยมีนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีจะเป็นหัวหน้าคณะ ดูแลงานด้านงบประมาณและกลั่นกรองอีกครั้งก่อนจะส่งให้กับนายกรัฐมนตรี
ข่าวเด่น