ย้อนกลับไปเมื่อเดือนก.ย. ปี 2503 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์พระบรมราชินีนาถ ได้เสด็จประพาสทวีปยุโรป ซึ่งการเสร็จในครั้งนั้น ได้ทรงประทับแรมอยู่ ณ ประเทศเดนมาร์ค ระหว่างนั้นทรงให้ความสนพระทัยเกี่ยวกับกิจการการเลี้ยงโคนมของชาวเดนมาร์คเป็นอย่างมาก และต่อมากลายเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ความร่วมมือด้านวิชาการการเลี้ยงโคนมระหว่างประเทศไทยและประเทศเดนมาร์ค โดยในวันที่ 20 ต.ค. 2504 ได้มีการลงนามสัญญาการให้ความร่วมมือช่วยเหลือทางวิชาการการเลี้ยงโคนม ระหว่างรัฐบาลเดนมาร์คกับรัฐบาลไทย
จากความร่วมมือดังกล่าว Danish Agricultural Marketing board ได้จัดสรรเงินช่วยเหลือจำนวน 4.33 ล้านโครเนอร์ (หรือประมาณ 23.5 ล้านบาท ในสมัยนั้น) สำหรับดำเนินโครงการเป็นระยะเวลา 8 ปี โดยรัฐบาลเดนมาร์คได้ส่งผู้เชี่ยวชาญมาร่วมดำเนินการในปี 2509 พร้อมกับสนับสนุนเงินจำนวน 2.87 ล้านโครเนอร์ สำหรับดำเนินงานในช่วง 8 ปี เพื่อสนองพระราชปณิธานและความสนพระทัยในอาชีพการเลี้ยงโคนมหลังจากเสด็จนิวัติประเทศไทย
ต่อมาในปี 2514 รัฐบาลไทยได้รับโอนกิจการฟาร์มโคนมและศูนย์ฝึกอบรมการเลี้ยงโคนม ไทย-เดนมาร์ค จัดตั้งเป็นรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ มีชื่อว่า “องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.)” มี สำนักงานตั้งอยู่เลขที่ 160 ถ.มิตรภาพ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี เพื่อดำเนินบทบาทในการส่งเสริมการเลี้ยงโคนมและพัฒนาอุตสาหกรรมนมต่อไป รัฐบาลไทยได้กำหนดให้วันที่ 17 ม.ค. ของทุกปีเป็นวันโคนมแห่งชาติ
นายณรงค์ฤทธิ์ วงศ์สุวรรณ ผู้อำนวยการ องค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย (อ.ส.ค.) รัฐวิสาหกิจภายใต้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวว่า เพื่อสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงได้พระราชทาน“โคนมอาชีพพระราชทาน” แก่เกษตรกรไทยและก่อตั้งฟาร์มโคนมไทย-เดนมาร์คขึ้นที่ อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี ทาง อ.ส.ค. จะเร่งขับเคลื่อนพัฒนาและส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนมควบคู่กับการพัฒนาอุตสาหกรรมนมไทยให้เป็นที่ยอมรับและเป็นอาชีพที่มั่นคง และยั่งยืนคู่สังคมไทย
ปัจจุบัน อ.ส.ค.ได้กำหนดแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมอาชีพการเลี้ยงโคนมไว้ในแผนวิสาหกิจ 2560-2564 ไว้อย่างชัดเจน เช่น การสร้างความมั่นคงให้“โคนมอาชีพพระราชทาน” ด้วยการส่งเสริมการจัดการการเลี้ยงโคนมอย่างมืออาชีพ, การสร้างแหล่งความรู้และเตรียมพร้อมผลักดันประเทศไทยให้ เป็นศูนย์กลางข้อมูลด้านกิจการโคนมและอุตสาหกรรมนมอย่างครบวงจร , การสร้างเครือข่ายความร่วมมือระหว่างเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม และสหกรณ์โคนมทั่วประเทศ , การวิจัยและพัฒนาฟาร์มโคนมต้นแบบ โดยการใช้พลังงานทางเลือกต้นทุนต่ำ เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ท่านสืบไป
นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวต่อว่า โคนมอาชีพพระราชทานเกิดจากสายพระเนตรอันกว้างไกลของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ต้องการสร้างอาชีพใหม่ๆให้แก่ประชาชนชาวไทย เพื่อให้มีความรู้ความสามารถมีอาชีพที่เลี้ยงตนเองและครอบครัวได้ ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมาทรงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมและสนับสนุนอาชีพการเลี้ยงโคนมของเกษตรกรให้มีรายได้และมีอาชีพที่มั่นคงและยั่งยืน
ปัจจุบันประเทศไทยมีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมอยู่ที่ประมาณ 16,000 ราย ในจำนวนดังกล่าวเป็นสมาชิกผู้เลี้ยงโคนมของ อ.ส.ค. จำนวนประมาณ 4,000 ราย มีโคนมในประเทศไทย ทั้งหมด 600,000 ตัว โดยภาคกลางเป็นแหล่งเลี้ยงโคนมมากที่สุด เฉลี่ยร้อยละ 67 ของประเทศ สามารถผลิตน้ำนมดิบมีปริมาณเฉลี่ย 3,300 ตันต่อวัน จากจำนวนน้ำนมดิบดังกล่าว แบ่งเป็นน้ำนมดิบที่ผลิตสำหรับโครงการอาหารเสริม (นม)โรงเรียน 38% และน้ำนมดิบที่ใช้สำหรับผลิตนมพาณิชย์ 62%
จากจำนวนน้ำนมที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ปัจจุบัน อ.ส.ค.มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์นมออกมาในรูปแบบต่างๆ เพื่อเข้าทำตลาดไม่ว่าจะเป็นนมยูเอชที หรือนมแช่เย็น ซึ่งจะประกอบไปด้วย โยเกิร์ต นมเปรี้ยว และนมพาสเจอรืไรส์ โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์นมที่สร้างรายได้หลักให้กับ อ.ส.ค. ในปัจจุบัน คือ นมยูเอชที คิดเป็นอัตราส่วนประมาณ 90-95% และจากการที่รายได้จากกลุ่มนมแช่เย็นยังมีสัดส่วนอยู่น้อยมาก จึงทำให้ อ.ส.ค.มีแผนที่จะขยายธุรกิจในกลุ่มสินค้าดังกล่าวมากขึ้นเพื่อเพิ่มรายได้
นายณรงค์ฤทธิ์ กล่าวอีกว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของ อ.ส.ค.นับจากนี้ จะเดินหน้าปรับปรุงเครื่องจักรให้มีความทันสมัยอย่างต่อเนื่อง เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะการผลิตนมแช่เย็น เช่น นมพาสเจอร์ไรส์ นมเปรี้ยว และโยเกิร์ต เนื่องจากปัจจุบันการผลิตนมดังกล่าวเข้าทำตลาดมีสัดส่วนเพียง 5 % เท่านั้น ดังนั้นนับตั้งแต่ปี 2560 เป็นต้นไป อ.ส.ค.จึงมีแผนที่จะทำการตลาดนมดังกล่าวมากขึ้น เพื่อให้มีสัดส่วนรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 10%
พร้อมกันนี้ ยังมีแผนที่จะขยายตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศมุสลิม โดยในปี 2560 ที่จะถึงนี้ อ.ส.ค. มีแผนที่จะเข้าไปขยายธุรกิจในประเทศมาเลเซีย เพื่อเป็นการทดลองผลการตอบรับของตลาด ก่อนที่จะขยายธุรกิจไปยังกลุ่มประเทศมุสลิมอื่นๆ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาตลาดว่าจะนำสินค้าเข้าไปทำตลาดต่อไปเป็นประเทศใด
ขณะเดียวกันก็จะเดินหน้าขยายตลาดในประเทศพม่า ลาว และกัมพูชาควบคู่กันไป เพราะหลังจากทดลองนำสินค้าเข้าไปทำตลาดในช่วงหลายปีก่อนผ่านตัวแทนจำหน่ายพบว่า ได้ผลการตอบรับเป็นอย่างดี ดังนั้น อ.ส.ค. จึงมีแผนที่จะเข้าไปทำการตลาดเพิ่ม ซึ่งหลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่องคาดว่าอีก 5 ปีนับจากนี้น่าจะมีรายได้รวมไม่ต่ำกว่า 10,000-12,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่คาดว่าจะมีรายได้อยู่ที่เกือบ 9,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2558 ประมาณ 7% แบ่งเป็นนมพาณิชย์กว่า 7,000 ล้านบาท และนมโรงเรียน 1,000 ล้านบาท ในมูลค่าดังกล่าวเป็นรายได้จากต่างประเทศ 1,100-1,200 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 900 ล้านบาท
การออกมาสานต่อพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชในครั้งนี้ ดูจากแผนวิสาหกิจ 5 ปี นับจากปี 2560-2564 ควบคู่ไปกับการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศน่าจะทำให้ภาพรวมผลิตภัณฑ์นมของ อ.ส.ค.หรือที่รู้จักกันดีในนามของนมวัวแดง น่าจะสร้างแบรนด์พร้อมสร้างยอดขายให้เป็นที่รู้จักในวงกว้างได้อย่างแน่นอน
ข่าวเด่น