โนเกียเผย ‘The Smart City Playbook’ หรือ คู่มือเมืองอัจฉริยะ ซึ่งเป็นรายงานกลยุทธ์ที่เก็บข้อมูลแนวทางปฎิบัติที่ดีที่สุด (best practices) สำหรับเมืองอัจฉริยะ โดยในรายงานดังกล่าวได้ให้ข้อเสนอเกี่ยวกับกลยุทธ์ที่ประสบความสำเร็จของเมืองต่างๆ ในการทำให้เมืองมีความอัจฉริยะ ความปลอดภัย และความยั่งยืนเพิ่มมากขึ้น รายงานนี้จัดทำในนามของโนเกีย โดยมาคิน่า รีเสิร์ช ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลทางการตลาดชั้นนำเรื่อง อินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (Internet of Things: IoT) ได้ทำการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับกลยุทธ์และความก้าวหน้าสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะโดยตรงจากทั้ง 22 เมือง รวมถึง กรุงเทพฯ
การศึกษานี้เปิดเผยถึงความแตกต่างอย่างมากของกลยุทธ์ในการก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะของเมืองต่างๆ แต่โดยรวมสรุปได้ 3 แนวทางหลักที่เมืองต่างๆเลือกใช้ แนวทางที่หนึ่ง เปรียบได้กับการทอดสมอ (anchor) โดยเมืองจัดทำแอพพลิเคชั่นหนึ่งตัวเพื่อนำมาจัดการปัญหาอย่างหนึ่งในเมือง เช่นปัญหาการจราจรติดขัด และภายหลังจึงเพิ่มแอพลิเคชั่นอื่นๆ แนวทางที่สอง เป็นการเริ่มต้นด้วยการสร้างแพลทฟอร์มหรือโครงสร้างพื้นฐานเพื่อรองรับแอพพลิเคชั่นและบริการอัจฉริยะต่างๆ และแนวทางสุดท้าย หรือที่มีชื่อว่า เมืองเบต้า (Beta Cities) เป็นวิธีการที่แตกต่างจากวิธีอื่นๆ โดยมีการนำหลายแอพพลิเคชั่นมาทดลองเป็นระบบนำร่อง (Pilot) ก่อนที่จะตัดสินใจนำมาปฏิบัติใช้ในระยะยาว
แม้ว่าการศึกษาจะพบความแตกต่างกันอย่างมากระหว่างเมืองต่างๆ ที่ใช้แนวทางเดียวกันในการก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ แต่มีแนวทางปฏิบัติบางประการที่เมืองอัจฉริยะที่ประสบความสำเร็จปฏิบัติคล้ายกัน อันประกอบไปด้วย
· เมืองที่ประสบผลสำเร็จจะมีกฏระเบียบที่โปร่งใสในการใช้ฐานข้อมูลที่จำเป็นจากรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเปิดเผยสู่สาธารณชนโดยไม่มีค่าใช้จ่าย หรือ มีค่าใช้จ่ายเพื่อรองรับกับกับค่าบริหารและการจัดการฐานข้อมูลก็ตาม
· ในหลายเมืองที่อยู่ในขั้นก้าวหน้า ผู้ใช้งานทั้งจากในและนอกภาครัฐสามารถเข้าถึงข้อมูลและเทคโนโลยีการสื่อสาร (ICT) และอินเทอร์เน็ตออฟธิงส์ (Internet of Things : IoT) และเมืองเหล่านี้หลีกเลี่ยงการสร้างการแบ่งแยกระหว่างหน่วยงานต่างๆ ในภาครัฐ
· รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องที่ส่งเสริมให้ประชากรเข้ามีส่วนร่วมในการเปลี่ยนแปลงเมืองสู่เมืองอัจริยะมักจะประสบความสำเร็จมากกว่า โดยเฉพาะในส่วนที่สามารถเห็นการเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วและชัดเจน เช่น ที่จอดรถอัจฉริยะ และ แสงสว่างอัจฉริยะ
· โครงสร้างพื้นฐานของเมืองอัจฉริยะจะต้องสามารถปรับขนาดได้ เพื่อที่จะสามารถเติบโตและรองรับความต้องการในอนาคต ทั้งยังมีความปลอดภัยสำหรับข้อมูลของทั้งภาครัฐและภาคเอกชน
· เมืองที่เลือกพันธมิตรเทคโนโลยีที่สามารถเอื้ออำนวยนวัตกรรม และลงทุนในการจำลองประสบการณ์จริง รวมทั้งมีแพลทฟอร์มเทคโนโลยีเปิด ที่ป้องกันการผูกขาด จะมีความได้เปรียบในการพัฒนาไปสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ
การศึกษานี้ยังได้ยกตัวอย่างประสบการณ์ ที่เมืองเหล่านี้จัดการกับความท้าทายที่ได้กล่าวถึงบางส่วนข้างต้น
ข้อค้นพบที่สำคัญจากกรุงเทพฯ
1 ) กรุงเทพฯ ใช้แนวทาง ‘beta city’ เพื่อขับเคลื่อนเป็นเมืองอัจฉริยะ
a) กรุงเทพฯ อาจเรียกได้ว่าเป็นเมืองอัจฉริยะที่รุดหน้าที่สุดในประเทศไทย ถึงรัฐบาลแม้จะประกาศให้ภูเก็ตเป็นเมืองอัจฉริยะนำร่อง จากการนำเทคโนโลยีต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเมืองอัจฉริยะมาใช้ ทางกรุงเทพฯเองนั้นได้มีสร้างเป้าหมายในการขับเคลื่อนกรุงเทพฯสู่ความเป็นอัจฉริยะเหมือนกับเมืองอื่นๆในทวีปเอเชีย
b) กรุงเทพฯ ใช้แนวทาง ‘‘beta city’ ในการขับเคลื่อนโดยมีการการทดลองแอพพลิเคชั่นต่างๆ มีการนำเทคโนโลยีและโมเดลทางธุรกิจมาปรับใช้เพื่อผลประโยชน์ที่ชัดเจนในระยะสั้นถึงระยะกลาง ถึงแม้ว่าจะมีโครงการนำร่องที่ดำเนินการอยู่อย่างต่อเนื่องและเห็นผลเร็ว แต่ยังคงมีความท้าทายในการทำงานร่วมกันของโครงการต่างๆเพื่อให้ได้ผลประโยชน์เพิ่มมากขึ้น
c) บางตัวอย่างของโครงการที่ได้เริ่มดำเนินการไปแล้ว ได้แก่:
· Wi-Fi ในพื้นที่สาธารณะ
· งานติดตามตรวจสอบสภาพแวดล้อม - ติดตั้งตัวเซนเซอร์ในการติดตามระดับเสียง อากาศ และคุณภาพน้ำเพื่อป้องกันการเกิดมลพิษ
· กล้องวงจรปิดตรวจตราความเรียบร้อยในพื้นที่สาธารณะ - CCTV
· ระบบการขนส่งและจราจรอัจฉริยะ - สัญญาณไฟจราจรในแยกใหญ่ๆ เพื่อตรวจสอบการจราจรและนำมาวางแผนเพื่อการพัฒนาปรับปรุงสภาพการจราจร
d) เมืองอื่นๆที่ใช้แนวทาง beta citiy ได้แก่ บริสตอล ฝรั่งเศส เซาเปาโล และเวียนนา
2) กรุงเทพฯมีโอกาสที่จะรังสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ ในส่วนของแอพพลิเคชั่นที่เกี่ยวกับความยั่งยืน (sustainability)
a) การดำเนินสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะของกรุงเทพฯ ก้าวหน้าที่สุดในส่วนของความอัจฉริยะ (Smart) “ความปลอดภัย” (safe) และมีความท้าทายในส่วนของความยั่งยืน กรุงเทพฯ มีศักยภาพที่จะพัฒนาพอร์ทัลเพื่อปรับปรุงสภาพการจราจรและมลพิษทางอากาศ
b) กรุงเทพฯ เป็นจังหวัดที่อยู่ในพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำขนาดใหญ่ในเอเชีย จึงเสี่ยงต่อการได้รับผลกระทบจากสภาพอากาศแปรปรวน ความแห้งแล้ง ความปลอดภัยของอาหาร และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น โดยในปัจจุบันกรุงเทพฯ ได้มีหลายวิธีในการบรรเทาผลกระทบและแผนการป้องกันต่างๆที่เตรียมไว้รองรับหรือกำลังอยู่ในระหว่างการเตรียมการ
มีการคาดการณ์ไว้ว่า 66% ของประชากรในโลกจะอยู่ในหัวเมืองหลักภายในปี พ.ศ. 2593[1] ซึ่งทำให้รัฐบาลและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆจำเป็นต้องวางแผนกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพเพื่อรองรับการเติบโตของประชากร ระบบสารสนเทศและการสื่อสารที่ชาญฉลาดและแพลตฟอร์ม IoT จึงมีบทบาทสำคัญในวิวัฒนาการของเมืองอัจฉริยะ การศึกษาฉบับนี้สรุปได้ว่าเมืองต่างๆ ได้มีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาใช้ให้เป็นประโยชน์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการและโครงสร้างพื้นฐาน การนำข้อมูลมาประกอบในการตัดสินใจได้ดีขึ้น การเพิ่มช่องทางการพัฒนาทางเศรษฐกิจ การกระตุ้นให้เกิดการเชื่อมต่อกันในสังคมเพื่อเพิ่มความปลอดภัยในชุมชนและยกระดับมาตรฐานของสิ่งแวดล้อม และในขณะเดียวกันก็พัฒนาปรับปรุงการบริการสาธารณะต่างๆ
ฮาราลด์ ไพรซ์ หัวหน้ากลุ่มธุรกิจเอเชียเหนือ บริษัทโนเกีย กล่าวว่า “กระบวนการในการสร้างเมืองอัจฉริยะนั้นมีความซับซ้อนอย่างยิ่ง และมีการนำเสนอกลยุทธ์ที่แตกต่างกันจำนวนมากจนทำให้การเลือกแนวทางที่เหมาะสมในการสร้างเมืองอัจฉริยะกลายเป็นความท้าทายอย่างมหาศาล เป้าหมายของเราในการจัดทำรายงานฉบับนี้โดย มาคิน่า รีเสิร์ช คือการสร้างความเข้าใจและชี้ให้เห็นกลยุทธ์ที่ให้ผลลัพธ์สำหรับเมืองทั้งหลายอย่างชัดเจน ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีที่เชื่อมต่อผู้คนและสิ่งต่างๆ โนเกียมีความมุ่งมั่นที่จะช่วยสร้างความเข้าใจให้กับตลาด และชึ้ให้เห็นถึงสิ่งหรือหัวข้อที่มีความสำคัญ ในประเทศไทยเรามุ่งหวังที่จะทำงานร่วมกับภาครัฐและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิด เพื่อทำให้วิสัยทัศน์เมืองอัจฉริยะเป็นจริง และประชากรสามารถใช้เทคโนโลยีช่วยสร้างสรรค์ชีวิตที่สมบูรณ์”
เจเรมี่ กรีน นักวิเคราะห์หลักจากมาคิน่า รีเสิร์ช และผู้เขียน The Smart City Playbook กล่าวว่า “ไม่มีใครที่กล่าวไว้ว่าการเป็นเมืองอัจฉริยะนั้นเป็นเรื่องง่าย เนื่องจากมีทางเลือกที่ต้องตัดสินใจมากมายอีกทั้งเทคโนโลยีและรูปแบบธุรกิจมีการพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้มีความไม่แน่นอนในหลากหลายระดับ อีกทั้งการกำหนดมาตรฐานที่ยังไม่เสร็จสิ้น ทำให้ไม่มีแนวทางที่ชัดเจนสำหรับการดำเนินการสู่การเป็นเมืองอัฉริยะ ถึงกระนั้นก็ยังมีหนทาง เพียงแต่เปิดกว้างและเรียนรู้จากผู้อื่น เช่น เมืองที่ประสบปัญหาใกล้เคียงกันถึงแม้จะต่างบริบท ซัพพลายเออร์ที่มีประสบการณ์จากอุตสาหกรรมอื่น สตาร์ทอัพ ผู้อาจสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ และที่สำคัญที่สุดคือผู้อาศัยในเมืองซึ่งเป็นพาร์ทเนอร์ที่แท้จริงในการก้าวสู่การเป็นเมืองอัจฉริยะ”
ข่าวเด่น