“สมพร” เอ็มดีทิพยประกันภัย ยอมรับผลกระทบโครงการใหญ่ของรัฐเกิดช้า ยอดเบี้ยหาย 2 พันกว่าล้าน ชิงปรับกลยุทธใหม่ ลุยตลาดรายย่อย จับมือพันธมิตรแบงก์ทั้งรายเก่ารายใหม่ บุกขายผลิตภัณฑ์รายย่อยปั๊มยอดเข้าพอร์ต ทั้งประกันรถยนต์,ประกัน P/A,ประกันการเดินทาง,ประกันสุขภาพ,ประกันที่อยู่อาศัย รับเบี้ยไม่เท่ารายใหญ่ แต่กำไรดีกว่า
.jpg)
นายสมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยในปีนี้ยอมรับว่ามีการเติบโตที่น้อยจากโครงการภาครัฐและเอกชนหลายโครงการที่ล่าช้า โดยคาดการเติบโตน่าจะติดลบ 5-6% ขณะที่การแข่งขันด้านราคามีสูง ส่งผลให้ราคาของธุรกิจประกันภัยในภาพรวมลดลง แต่ด้วยความที่ทิพยประกันภัยเป็นบริษัทประกันภัยรายใหญ่จึงยังสามารถรักษาฐานลูกค้าไว้ได้ 100%
“แต่คงต้องยอมรับว่าแม้เราจะรักษาฐานลูกค้ารายใหญ่ไว้ได้ แต่เบี้ยก็ลดลงตามโครงการที่ล่าช้า โดยผลกระทบจากโครงการใหญ่ที่มีมูลค่าการประกันรวม 7,800 ล้านบาทนั้น หายไป 25% หรือหายไป 2 พันล้านบาท ฉะนั้นเมื่อเบี้ยลดลง บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์การตลาดใหม่ เน้นขายประกันภัยให้รายย่อยมากขึ้น ซึ่งแม้จำนวนเบี้ยจะน้อยกว่า แต่กำไรจะดีกว่า อย่างไรก็ตาม ทิพยประกันภัยจะไม่เข้าไปแข่งขันด้านราคาอย่างแน่นอน แต่จะหันไปมุ่งเน้นด้านการให้บริการทั้งในส่วนของลูกค้าและคู่ค้าเพื่อให้มีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับ”นายสมพรกล่าว
นายสมพรกล่าวต่อไปว่า จากสภาวะดังที่กล่าวมาทำให้ในปีนี้ทิพยประกันภัยได้ปรับลดเป้าหมายผลประกอบการจากเดิมที่ตั้งไว้ 23,000 ล้านบาท เหลือ 22,000 ล้านบาท โดยเป็นการขายผ่านช่องทางธนาคารพาณิชย์หรือแบงก์แอสชัวรันส์ ซึ่งเป็นช่องทางหลัก 6,000 ล้านบาท และอีก 7,800 ล้านบาทเป็นการประกันในโครงการใหญ่ ที่เหลือเป็นการขายผ่านสาขาและตัวแทนนายหน้ารวมทั้งช่องทางอื่นๆ
สำหรับการปรับกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นรายย่อยมากขึ้น จะดำเนินการผ่านการขายผลิตภัณฑ์รายย่อยต่างๆของบริษัท ทั้ง ประกันรถยนต์,ประกันอุบัติเหตุส่วนบุคคล(P/A),ประกันการเดินทาง,ประกันสุขภาพ และประกันที่อยู่อาศัย โดยประกันรถยนต์ เนื่องจากรถยนต์มีความเสี่ยงสูง loss ratio สูง(อัตราส่วนค่าสินไหมทดแทน) บริษัทฯจึงจำเป็นต้องคัดพอร์ตเลือกเฉพาะในส่วนที่ดี เพื่อคุมพอร์ตรถยนต์ให้มีสัดส่วนที่เหมาะสมไม่เกิน 30% ของพอร์ตรวมทั้งหมด 22,000 ล้านบาท โดยปัจจุบันมีพอร์ตรถยนต์อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท หรือประมาณ 20%
“ที่ผ่านมาประกันรถยนต์ เบี้ยลดลง 10% แต่คุณภาพดีขึ้นเยอะ โดยลอสเรโชดีขึ้นถึง 4-5% จากเดิมบริษัทฯ มีลอสเรโชอยู่ที่ 70% ต้นๆ ตอนนี้เหลืออยู่ 60% ปลายๆ ซึ่งดีขึ้นเยอะมาก เราก็แฮปปี้ น่าจะมีกำไร ไม่ขาดทุน”นายสมพรกล่าว
นายสมพรกล่าวว่า การหันมาปรับกลยุทธ์เน้นรายย่อยมากขึ้น เชื่อว่าจะทำให้ฐานลูกค้ารายย่อยในปีนี้เติบโต 20% โดยช่องทางการขายผ่านแบงก์แอสชัวรันส์ยังคงเป็นช่องทางหลักอยู่ในการบุกฐานลูกค้ารายย่อย ซึ่งทิพยประกันภัยได้เพิ่มพันธมิตรในส่วนของธนาคารพาณิชย์มากขึ้น เพื่อใช้เป็นช่องทางการขายประกันที่สำคัญ โดยพันธมิตรรายใหม่ ได้แก่ ธนาคารสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด ไทย และธนาคารแลนด์แอนด์เฮ้าส์ ขณะที่พันธมิตรรายเดิมยังคงร่วมมือในการเป็นช่องทางการขายหลักอยู่เช่นเดิม ทั้ง ธนาคารออมสิน,ธนาคารกรุงไทย,ธนาคารทหารไทย และธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ขณะที่การขายประกันผ่าน Online มีผลตอบรับที่น่าพอใจอยู่ที่ 5%
สำหรับตัวเลขผลการดำเนินงานล่าสุดไตรมาส 3 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีกำไรจากการลงทุน 274.59 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ทำได้ 150.16 ล้านบาท หรือคิดเป็น 120.68% โดยส่วนหนึ่งมาจากการขายหลักทรัพย์บางตัวที่เคยทำกำไรออกไป เพื่อลดความเสี่ยงจากการลงทุนในช่วงที่เหลือของปี และเพื่อถือเงินสดรอจังหวะการลงทุนในหุ้นพื้นฐานที่ดีที่จะสามารถสร้างกำไรให้กับบริษัทฯได้ในอนาคต ทั้งนี้ปัจจุบันบริษัทฯมีสินทรัพย์ลงทุนในพอร์ต 18,000 ล้านบาท เป็นหุ้น 15% เงินฝาก 40% และตราสารต่างๆ 45%
“แม้ในปีนี้ภาพรวมธุรกิจประกันวินาศภัยจะไม่ดี แต่คาดว่าในปีหน้าจะดีขึ้นแน่จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และการทยอยออกโครงการต่างๆ ที่จะเริ่มเห็นกันตั้งแต่ปลายปีนี้เป็นต้นไป”นายสมพรกล่าวทิ้งท้าย

ข่าวเด่น