การเข้าถึงแหล่งเงินกู้และต้นทุนทางการเงินนับเป็นปัจจัยและต้นทุนที่สำคัญในการทำธุรกิจของผู้ประกอบการธุรกิจขนาดกลางและย่อมหรือ SMEs ซึ่งในช่วงที่เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวได้อย่างเต็มที่ การช่วยเหลือSMEs โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง เป็นสิ่งที่ช่วยผู้ประกอบการได้ดีที่สุด
ซึ่งนายสมชัย สัจจพงษ์ ปลัดกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า กระทรวงการคลังต้องการให้ธนาคารพาณิชย์พิจารณาลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อที่จะเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มากและประหยัดขึ้น ถึงแม้ว่าธนาคารพาณิชย์จะเสียรายได้จากการปล่อยกู้ไปบ้าง แต่ก็จะมีฐานการขยายสินเชื่อได้มากขึ้น ไม่ใช่ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น รวมทั้งยังเป็นผลดีในการช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
ขณะที่นายวิสุทธิ์ ศรีสุพรรณ รมช.คลัง กล่าวว่า ประเทศไทยมีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจำนวนมากคิดเป็น 99% ของผู้ประกอบการทั้งหมด จึงอยากให้ธนาคารพาณิชย์ปล่อยกู้ให้กับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี เพื่อให้มีทุนหมุนเวียนและเกิดการลงทุนใหม่ๆเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันรัฐบาลก็มีมาตรการเข้าไปช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีต่อเนื่อง ทั้งการให้สินเชื่อผ่อนปรนดอกเบี้ยต่ำ การอบรมให้ความรู้ และการให้ บสย. เข้าไปช่วยค้ำประกันเพื่อให้เข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์ได้มากขึ้น
ด้านนายนิธิศ มนุญพร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เปิดเผยว่า วันที่ 1 ธ.ค. นื้ บสย. จะลงนามร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อเดินหน้า“โครงการค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทวีทุน” (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) หรือ PGS ระยะที่ 6 โดยคาดว่าจะช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงแหล่งเงินทุน 33,000 ราย ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินรวม 168,000 ล้านบาท และก่อให้เกิดเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจ 458,000 ล้านบาท โดยจะเปิดให้ยื่นค้ำประกันสินเชื่อได้ตั้งแต่บัดนี้จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2561 หรือจนกว่าวงเงินจะหมด
สำหรับผู้ที่จะขอรับสินเชื่อ “โครงการค้ำประกันสินเชื่อผู้ประกอบการวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมทวีทุน” (Portfolio Guarantee Scheme ระยะที่ 6) หรือ PGS ระยะที่ 6 ต้องเป็นผู้ประกอบการที่ยื่นแบบเสียภาษีเงินได้นิติบุคคล นอกจากนี้บสย.จะขยายระยะเวลาการค้ำประกันสินเชื่อจากเดิม หรือPGS5 จาก 7 ปี เป็น 10 ปี เพื่อให้การช่วยเหลือ SMEs เป็นไปอย่างต่อเนื่อง โดยคิดค่าธรรมเนียมค้ำประกันอยู่ที่ 1.75% ต่อปี
โดยเงื่อนไขการค้ำประกันหากเกิดความสูญเสียจากหนี้ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (เอ็นพีแอล) ไม่เกิน 20% ของพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร บสย.รับผิดชอบ 100% หากความสูญเสียมากกว่า 20% แต่ไม่เกิน 25% ของพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร บสย. รับ 50% และหากเกิดความสูญเสียมากกว่า 25% แต่ไม่เกิน 30% ของพอร์ตสินเชื่อของธนาคาร บสย. รับผิด 25%
ขณะที่คุณสมบัติผู้ยื่นค้ำประกันสินเชื่อ ต้องมีทรัพย์สินถาวรไม่รวมที่ดินไม่เกิน 200 ล้านบาท เป็นประเภทบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มีสัญชาติไทย และประกอบกิจการโดยชอบด้วยกฎหมาย และต้องไม่ขัดต่อศีลธรรมอันดี ระยะเวลาค้ำประกัน 10 ปี วงเงินค้ำประกันไม่เกิน 40 ล้านบาทต่อรายต่อสถาบันการเงิน
ข่าวเด่น