เศรษฐกิจ-บทวิจัยเศรษฐกิจ
"กรุงศรีฯ" มองค่าเงินบาทปีหน้าอ่อนลง แต่ไม่เกิน 36 บาท/ดอลลาร์ คาดเศรษฐกิจปีหน้าโต 3.3% ส่งออกโต 1%


“กรุงศรีฯ” มองแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นจากเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.75% ไปสู่ระดับ 1% กดดันค่าเงินบาทอ่อนค่าลง แต่ไม่น่าอ่อนเกิน 36 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนการขยายตัวทางเศรษฐกิจปีหน้าของไทย คาดโต 3.3% และส่งออกโต 1%


 

 

นายตรรก บุนนาค ประธานเจ้าหน้าที่ด้านโกลบอลมาร์เก็ตส์ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแนวโน้มค่าเงินและทิศทางอัตราดอกเบี้ยในปีหน้าว่า ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐในปีหน้ามีแนวโน้มในทิศทางแข็งค่าขึ้นอีกจากแรงส่งด้านขาขึ้นจากนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่มีแนวโน้มว่าในเดือนธันวาคมนี้จะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% จากปัจจุบันอยู่ที่ 0.25%  และอาจปรับขึ้นอีกอย่างน้อย 0.50%  ในปีหน้า ไปสู่ระดับที่ 1.00% ท่ามกลางการคาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงขึ้นในปีหน้า อย่างไรก็ตาม ตลาดรอความชัดเจนเกี่ยวกับนโยบายของรัฐบาลโดนัลท์ ทรัมป์ ซึ่งจะประกาศอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้า

“ทิศทางค่าเงินดอลลาร์ในระยะต่อไป มีแรงส่งขาขึ้นจากนโยบายการเงินของเฟด โดยดูได้จากดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USDX) ก่อนที่โดนัลท์ ทรัมป์ จะชนะการเลือกตั้ง อยู่ที่ 95-96 จุด แต่หลังเลือกตั้งดัชนีปรับลดลงมาอยู่ที่ 94-95 จุด เพราะตลาดกังวลว่านโยบายของทรัมป์จะมีผลต่อเศรษฐกิจ แต่ตอนนี้ดัชนีพุ่งขึ้นมาอยู่ที่ 101.82 จุด บ่งชี้ให้ว่าเงินดอลลาร์สหรัฐ Strong มาก มีทิศทางแข็งค่าขึ้นได้อีก ทำให้ผู้เล่นในตลาดตอนนี้ ไม่กล้า Short เงินดอลลาร์ จึงมองว่าแนวโน้มดัชนีค่าเงินดอลลาร์ในระยะต่อไปไม่น่าจะต่ำกว่า 100 จุด”นายตรรกกล่าว

นอกจากนี้ ปัจจัยที่กระทบค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ยังมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยปัจจุบันพันธบัตรอายุ 5-10 ปี กราฟแสดงผลตอบแทนชันขึ้นมาก บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจสหรัฐจะดีขึ้น กระตุ้นเงินทุนไหลออกจากกลุ่มประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ ทำให้เกิดการเทขายพันธบัตรทั่วโลก

 



ฉะนั้น การที่เงินดอลลาร์มีทิศทางแข็งค่าขึ้น กดดันเงินบาทในระยะ 1-2 ไตรมาสข้างหน้า อยู่ในทิศทางอ่อนค่า แต่คาดสิ้นปีเงินบาทไม่น่าจะอ่อนค่าเกิน 36 บาทต่อดอลลาร์ อย่างไรก็ตาม เงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงครึ่งหลังปีหน้า เมื่อนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐชัดเจนมากขึ้น และตลาดได้รับรู้ต่อผลดีต่อรัฐบาลใหม่ของสหรัฐชัดเจนแล้ว รวมถึงเสถียรภาพของค่าเงินหยวน โดยคาดปีหน้าเงินบาทน่าจะเคลื่อนไหวในกรอบ 34.25-37.00 บาทต่อดอลลาร์

สำหรับปัจจัยที่นักลงทุนจับตามองในปีหน้า ได้แก่ 1.กรณี Brexit ผลกระทบจากการถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรป (อียู) ของอังกฤษ 2.กระแสเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงทางสังคม 3.ความเสี่ยงที่ผลโหวตจะพลิกโผซ้ำรอยในหลายประเทศในยุโรป ซึ่งมีการเลือกตั้งในปี 2017 และอาจสร้างความผันผวนต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความเสี่ยงใหม่ที่ตลาดต้องคำนึงถึง

 

 

นายตรรกกล่าวว่า กรุงศรีฯมองว่าเศรษฐกิจไทยในปีหน้า อัตราการขยายตัวน่าจะอยู่ที่ประมาณ 3.3% และการส่งออกอยู่ที่ 1%  ซึ่งก็ต้องขึ้นอยู่กับสหรัฐและเอเชีย อย่างไรก็ตาม ไทยควรจะหันมาพึ่งพาการส่งออกไปยัง AEC และอาเซียนให้มากขึ้น เพื่อช่วยผลักดันตัวเลชส่งออกให้โตขึ้นได้

นายตรรกกล่าวถึง ปัจจัยบวกในปีหน้าที่จะมีผลต่อเศรษฐกิจไทย ได้แก่ การใช้จ่ายภาครัฐสนับสนุนเศรษฐกิจระยะสั้น ขณะที่โครงการลงทุนขนาดใหญ่ในระยะยาวจะขับเคลื่อนการลงทุนภาคเอกชน,ต้นทุนน้ำมันและดอกเบี้ยยังค่อนข้างต่ำแม้จะผันผวน,ธุรกิจท่องเที่ยวชะลอตัวเพียงชั่วคราว,ผลจากภัยแล้งบรรเทาลงหนุนกำลังซื้อของผู้บริโภคและระดับทุนสำรองและหนี้ต่างประเทศจำกัดความเสี่ยงต่อการเกิดวิกฤติค่าเงินบาท

 

 

“กรุงศรีฯไม่คิดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.)จะปรับขึ้นดอกเบี้ยตอนนี้ โดย กนง.น่าจะคงดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับเดิม 1.50%  ตลอดปีหน้า เพื่อเก็บไว้เป็นเครื่องมือใช้ในยามฉุกเฉิน อย่างไรก็ตาม กรุงศรีฯมองว่าวิกฤติค่าเงินบาทมีโอกาสเกิดขึ้นน้อย เพราะทุนสำรองของประเทศไทยมีมากอยู่ที่ 1.79 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็น 294% ของหนี้ต่างประเทศระยะสั้น ทำให้มีความสามารถในการชำระหนี้ต่างประเทศระยะสั้นได้ถึง 3 เท่าตัว โดยทุนสำรองของไทยสูงขึ้นมาตลอดตั้งแต่ปี 2014 ฉะนั้นเราไม่น่าจะถูก Attack หรือถูกโจมตีค่าเงิน”นายตรรกกล่าว

นายตรรกกล่าวว่า ส่วนปัจจัยลบในปีหน้า ได้แก่ แนวโน้มการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศอุตสาหกรรมหลักที่ยังมีความไม่แน่นอน นำโดยสหรัฐและจีน รวมถึงนโยบายการค้าและนโยบายการเงินที่ยังไม่แน่นอน,ปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคส่งออก ที่ประเทศไทยมีปัญหาเรื่องการแข่งขันที่สูงกับประเทศเพื่อนบ้านที่เป็นคู่แข่งขัน นอกจากนี้ ตลาดการเงินยังมีความผันผวน


บันทึกโดย : Adminวันที่ : 28 พ.ย. 2559 เวลา : 23:03:10
26-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 26, 2024, 3:34 pm