แม้ว่าภาพรวมสถานการณ์ภายในประเทศไทยจะค่อยๆปรับตัวดีขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ เนื่องจากหลายเหตุการณ์เริ่มมีความผ่อนคลาย ผู้ประกอบการหลายรายเริ่มออกมาจัดงานอีเวนต์ในรูปแบบต่างๆ มากขึ้น แต่ยังคงไว้ที่ความเหมาะสม เพราะช่วงเวลานี้ยังอยู่ระหว่างการไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ซึ่งจากแนวโน้มที่เริ่มดีขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ผู้ประกอบการในธุรกิจอีเวนต์คาดการณ์ว่าภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ในประเทศไทยปีนี้น่าจะดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
แต่อย่างไรก็ดี เพื่อความไม่ประมาทในการทำธุรกิจ บรรดาผู้ประกอบการในธุรกิจอีเวนต์ต่างหาวิธีลดความเสี่ยง ด้วยการหันมาขยายธุรกิจในต่างประเทศ เพื่อหารายได้เสริมธุรกิจอีเวนต์ในประเทศที่สถานการณ์ยังไม่น่าไว้ใจ เนื่องจากหลายคนยังคงมีความกังวลว่าภาพรวมเศรษฐกิจในปี 2560 นี้ จะยังอยู่ในภาวะชะลอตัวต่อเนื่องจากปี 2559 ซึ่งประเทศที่ให้ความสนใจเข้าไปทำธุรกิจอีเวนต์กันก็ไม่ได้ไปไหนไกลยังคงลุยเก็บโอกาสทางธุรกิจในประเทศเพื่อนบ้านใกล้กับประเทศไทยกันเสียเป็นส่วนใหญ่
นายเสริมคุณ คุณาวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ซีเอ็มโอ จำกัด (มหาชน) หรือ CMO ผู้นำธุรกิจสื่อสารการตลาดแบบครบวงจรแห่งอาเซียน ครอบคลุมธุรกิจด้านอีเว้นท์,ด้านเอ็นเตอร์เทนเม้นต์ และธุรกิจไลฟ์สไตล์ กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจอีเวนต์ปี 2560 นี้ มีแนวโน้มเติบโตไปในทางที่ดีขึ้น เนื่องจากขณะนี้ผู้ประกอบการภาคเอกชนเริ่มกลับมาจัดกิจกรรมการตลาดเพิ่มขึ้น เพื่อกระตุ้นยอดขาย โดยเฉพาะในกลุ่มงานบันเทิง เช่น งานคอนเสิร์ต และโชว์ต่างๆ ส่วนงานใหญ่ที่ไม่ได้ยกเลิกจะมีการเลื่อนจัดงานไปในช่วงเดือน มี.ค.-เม.ย.2560 แทน
สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท ซีเอ็มโอ ในปีนี้ จะเน้นไปที่การเร่งดำเนินงานของลูกค้าเดิมที่ได้รับงานมาแล้ว ควบคู่ไปกับการเดินหน้าหาลูกค้าใหม่ ซึ่งล่าสุดได้รับมอบหมายจากรัฐบาล โดยสำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.) จ้างให้เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างอาคารพร้อมจัดแสดงนิทรรศการ “เย็นศิระเพราะพระบริบาล” ที่ท้องสนามหลวง บนพื้นที่ 1,000 ตร.ม. โดยนิทรรศการจัดขึ้น เพื่อเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนชาวไทย และเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
นอกจากนี้ ยังมีการพัฒนางานธุรกิจสร้างแหล่งท่องเที่ยว (Tourist Attraction) โดยในเดือน ม.ค.2560 นี้ เตรียมที่จะเปิดตัวโชว์ “หิมพานต์ อวตาร” ที่ ศูนย์การค้าโชว์ดีซี อย่างเป็นทางการ ซึ่งรูปแบบการโชว์จะเป็นการแสดงศิลปะวัฒนธรรมไทยร่วมสมัย ผสานเทคโนโลยีในรูปแบบ 4 มิติ โดยหลังจากเริ่มเปิดให้บริการบริษัท ซีเอ็มโอ คาดว่าจะมีรายได้จากธุรกิจดังกล่าวปีละไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท
ขณะเดียวกันในส่วนของธุรกิจสวนสนุก “อิเมจิเนีย เพลย์แลนด์” (Imaginia Playland) ก็ได้มีการขยายงานไปยังต่างประเทศเป็นครั้งแรก โดยได้ทำสัญญาสร้าง Imaginia Zone ให้กับ Little Prince Kids Theme Park สวนสนุกในเมืองต้าเหลียน ประเทศจีน ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพและการเติบโตสูง โดยที่ Imaginia Zone จะเป็นห้องหนึ่ง ขนาดพื้นที่ 220 ตร.ม. อยู่ในสวนสนุก Little Prince Kids Theme Park ที่มีรูปแบบการดีไซน์เครื่องเล่น และเทคนิคที่ใช้งานเหมือนกับสวนสนุก Imaginia ประเทศไทยทุกประการ นับเป็นก้าวสำคัญของอิเมจิเนีย ในการขยายงานไปยังต่างประเทศ โดยบริษัทฯ จะนำแนวคิดในลักษณะนี้ ขยายไปยังประเทศอื่นๆ อย่างต่อเนื่อง ภายใน 5 ปี ข้างหน้าอีกด้วย
นายเสริมคุณ กล่าวอีกว่า ทิศทางการเติบโตของธุรกิจอีเวนต์ไทยจะเข้าไปมีบทบาทมากขึ้นในตลาด CLMV ซึ่งประกอบไปด้วย กัมพูชา,ลาว,พม่า และเวียดนาม ซึ่งจะรุกตลาดไปพร้อมกับแบรนด์ของไทยที่มีแผนจะขยายงานในต่างประเทศ ทำให้ต้องมีการจัดกิจกรรมการตลาด ส่งผลให้ภาพรวมอีเวนต์เติบโตไปด้วย แต่ขณะเดียวกันก็ต้องพบปัญหาการแข่งขันที่มีแนวโน้มสูงขึ้น ทั้งการแข่งขันกับบริษัทอีเวนต์ภายในประเทศ และกับบริษัทอีเวนต์ต่างชาติ เช่น ประเทศสิงค์โปร์ ที่จะเข้ามาแข่งขันในประเทศไทย ดังนั้นในส่วนของแนวทางการปรับตัว บริษัทอีเว้นท์ไทยจะต้องเน้นเรื่องของคุณภาพ และการให้บริการที่ดีเพิ่มมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ต้องมีการจัดการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพด้วย
ด้าน นายเกรียงไกร กาญจนะโภคิน ผู้ก่อตั้ง และประธานเจ้าหน้าที่บริหารร่วม บริษัท อินเด็กซ์ ครีเอทีฟ วิลเลจ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจในปี 2560 นี้ บริษัทจะมุ่งไปในกลุ่มประเทศ CLMV มากขึ้น หลังจากประสบความสำเร็จอย่างมาก จากการยกโมเดลธุรกิจในประเทศไทยไปใช้ในประเทศพม่า เวียดนาม และกัมพูชา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศเวียดนาม ที่กำลังจะมีงานใหญ่เกิดขึ้นในช่วงเดือนม.ค.นี้ คือ งาน ฮอย อัน ไลท์ เฟสติวัล 2017 (Hoi An Light Festival 2017) ที่จะเนรมิตเมืองฮอยอันให้เต็มไปด้วยสีสันแห่งความสนุก ที่ทางอินเด็กซ์ฯ ได้เซ็นต์เอ็มโอยู (MOU) กับสำนักงานวัฒนธรรม การกีฬา และการท่องเที่ยว จังหวัดกว่างนาม เมืองฮอยอัน ประเทศเวียดนาม (The Department of Culture, Sports and Tourism of Quang Nam province) และบริษัท เวียดนาม เซ็นเตอร์ ประเทศไทย จำกัด
สำหรับกลยุทธ์ที่จะทำเข้าไปทำตลาดในต่างประเทศนั้น อินเด็กซ์ฯ จะเน้นทั้งในรูปแบบธุรกิจอีเว้นท์ และการสร้างงานในลักษณะโอน อีเว้นท์ (Own Event) เช่น ธุรกิจเทรดแฟร์ ซึ่งถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการขยายตลาดต่างประเทศที่มีประสิทธิภาพ และเป็นสะพานในการเชื่อมโยงนักลงทุนจากทั่วโลกหลากหลายอุตสาหกรรม
ปัจจุบัน อินเด็กซ์ฯ มีเทรดแฟร์ประจำที่ครอบคลุมกลุ่มอุตสาหกรรมทั้งหมด 4 งานหลักในประเทศพม่า และประเทศกัมพูชา คือ งานบิวด์ แอนด์ เดคคอว์ (Build and Decor) งานเทรดแฟร์ด้านวัสดุอุปกรณ์การก่อสร้าง งานฟู้ดเบฟ (FoodBev) งานเทรดแฟร์ด้านอาหาร และเครื่องดื่ม งานรีเทลเอ็กซ์โป (Retail Expo) งานเทรดแฟร์ด้านสินค้า สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าปลีก และห้างสรรพสินค้า ซึ่งอินเด็กซ์ฯ เป็นเจ้าแรก ที่ริเริ่มเข้าไปปูทาง และเปิดตลาดทางธุรกิจใหม่ๆ คาดการณ์จะเพิ่มสัดส่วนรายได้ในกลุ่มอาเซียน วิงซ์ สูงถึง 15-20%
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า บริษัทถือเป็นเจ้าแรกที่ริเริ่มเข้าไปปูทาง และเปิดตลาดทางธุรกิจใหม่ๆ รวมถึงกลุ่มธุรกิจด้านการวิจัยแบบเจาะลึก เพื่อเป็นประโยชน์ในการดำเนินธุรกิจด้านต่างๆ โดยบริษัทเอ็นไวโรเซล ผู้เชี่ยวชาญด้านข้อมูล งานวิจัยในภูมิภาค ซีแอล เอ็มวี
ส่วนด้านธุรกิจทีวี โดยวิลเลจ เทเลวิชั่น ก็ได้ใช้โมเดลธุรกิจในลักษณะการเป็นครีเอทีฟ คอนเทนต์ โพรไวเดอร์ (Creative Content Provider) โดยในปีที่ผ่านมา ได้ขายฟอร์แมตรายการ เดอะ ด๊อก พาร์ทเนอร์ สู่ตลาดต่างประเทศพม่า และเวียดนาม และยังคงขยายตลาดไปสู่ประเทศอื่นๆ เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยใช้ความคิดสร้างสรรค์เป็นพื้นฐานหลักในการดำเนินธุรกิจ ตอกย้ำการเป็นศูนย์กลางด้านความคิดสร้างสรรค์แบบครบวงจร เพื่อสร้างโอกาสทางธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ
จากการวางแผนการดำเนินธุรกิจดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันอินเด็กซ์ฯ มีงานสเกลใหญ่จำนวน 5-6 งานหลักอยู่ในมือ ทำให้มีปัจจุบันมี Backlog อยู่ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งจากจำนวนงานที่มีอยู่ในมือเป็นจำนวนมาก ส่งผลให้คาดการณ์ว่าสิ้นปี 2560 จะมีผลประกอบการจะเติบโตสูงถึง 10-15% เป็นการเติบโตที่สูงที่สุดในรอบ 3-4 ปีที่ผ่านมา
การออกมาปรับแผนการดำเนินธุรกิจดังกล่าวน่าจะช่วยให้ผู้ประกอบการธุรกิจอีเวนต์มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจอย่างแน่นอน ส่วนจะเติบโตได้ตามเป้าหรือเติบโตอยู่ที่เท่าไหร่นั้น คงต้องรอดูภาพรวมในสิ้นปี 2560 ซึ่งในส่วนของของธุรกิจอีเวนต์ในประเทศ คาดการณ์กันว่าจะเติบโตอยู่ที่ประมาณ 5% จากมูลค่าประมาณ 14,000-15,000 ล้านบาท
ข่าวเด่น