เหตุการณ์น้ำท่วม  12 จังหวัดภาคใต้ที่เกิดขึ้น นับว่ารุนแรงมากที่สุดในรอบ 50 ปี  ได้สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน  มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้สำรวจผลกระทบจากผู้ประกอบการภาคใต้ 

นายธนวรรธน์  พลวิชัย   ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย   เปิดเผยว่า การสำรวจผลกระทบของผู้ประกอบการภาคใต้ 100 ราย ใน 12 จังหวัด    คาดว่า จะมีมูลค่าความเสียหายประมาณ 22,365 ล้านบาท แบ่งเป็นความเสียหายของภาคการเกษตร 8,100 ล้านบาท  ภาคธุรกิจและอุตสาหกรรมเสียหายประมาณ 10,000 ล้านบาท  และความเสียหายต่อโครงสร้างพื้นฐาน  เช่น ถนน  ทางรถไฟ  สะพานและบ้านเรือน ประมาณ 3,400  ล้านาท ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ของประเทศประมาณ 0.1%  และกระทบต่อจีดีพีภาคใต้ 1.2%  ทำให้การคาดการณ์การจีดีพีภาคใต้เติบโตเดิมที่ 3.2% จะลดลงเหลือ 2%  ซึ่งหากภาครัฐไม่เร่งให้ความช่วยเหลือ   ทั้งภาคการเกษตรและอุตสาหกรรม จะทำให้เศรษฐกิจภาคใต้ขยายตัวลดลงมากกว่านี้ได้
         
โดยความเสียหายที่เกิดกับภาคการเกษตรนั้น พบว่า ยางพารา ได้รับผลกระทบหนักสุด  รองลงมาเป็นภาคประมงและปศุสัตว์   และตามด้วยปาล์มน้ำมันและข้าว ขณะที่ผู้ประกอบการภาคบริการที่เกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยว  ได้รับผลกระทบจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง เพราะเส้นทางคมนาคมหลายแห่งถูกตัดขาด ทั้งทางถนน และรถไฟ

ด้าน นายวชิร คูณทวีเทพ  ผู้ช่วยผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า ผลสำรวจผู้ประกอบการภาคใต้ ได้รับผลกระทบโดยตรง 21.7% ได้รับผลกระทบทางอ้อม 78.3% โดยผลกระทบที่เกิดขึ้น ส่วนใหญ่ทำให้ยอดขายลดลง คำสั่งซื้อลดลง และต้นทุนเพิ่มขึ้น ซึ่งสิ่งที่ต้องการให้ภาครัฐช่วยเหลือ คือ การเร่งฟื้นฟูภาคเกษตรกรรม ภาคการลงทุน และภาคการท่องเที่ยว

ขณะที่ นายสุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กล่าวว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพย์สินที่ทำประกันภัยไว้ โดยข้อมูล ณ วันที่ 12 มกราคม 2560   ตามที่บริษัทประกันภัยรายงานเบื้องต้นเกี่ยวกับความเสียหายของรถยนต์ที่ทำประกันภัยไว้มีจำนวน 749 คัน   ประเมินความเสียหายประมาณ 94.78 ล้านบาท