หลังจากแอบปรับหลังบ้านกันมาพักใหญ่ สำหรับ บริษัท สก็อตอินดัสเตรียล(ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพและความงามภายใต้แบรนด์ “สก๊อต” และ บริษัท เซเรบอส (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มบำรุงสุขภาพและความงามภายใต้แบรนด์ “แบรนด์” ด้วยการแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายใหม่กันทั้งคู่ เพื่อกระจายสินค้าสู่ช่องทางใหม่ๆ ส่งผลให้ภาพการแข่งขันของตลาดเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพและความงามในปีนี้มีแนวโน้มการแข่งขันที่รุนแรงกันตั้งแต่ต้นปี
ในส่วนของบริษัท เซเรบอสฯ เสริมความแข็งแกร่งด้วยการผนึก 2 พันธมิตรดิสทริบิวเตอร์รายใหญ่อย่าง บริษัท เดอเบล จำกัด เข้ามาดูแลรับผิดชอบกระจายสินค้าในช่องทางร้านค้าทั่วไปหรือเทรดดิชันนัลเทรด และอีกราย คือ บริษัท ซีโน-แปซิฟิก เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ทำหน้าที่รับผิดชอบกระจายสินค้าในช่องทางโมเดิร์นเทรด โดยทั้ง 2 บริษัทจะเริ่มดำเนินการกระจายสินค้าให้บริษัท เซเรบอสฯ นับตั้งแต่เดือน ม.ค.นี้เป็นต้นไป เพื่อให้การกระจายสินค้าครอบคลุมทุกช่องทาง
ขณะที่ บริษัท สก็อค อินทัสเตรียลฯ ผนึก ดีเคเอสเอช ให้เข้ามาดูแลการกระจายสินค้าในประเทศไทยสำหรับร้านค้าทั่วไป หลังจากก่อนหน้านี้ ดีเคเอสเอช ได้ทำหน้าที่กระจายให้กับบริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ อยู่แล้วสำหรับการส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในประเทศพม่า ซึ่งการผนึกกำลังกับดีเคเอสเอชในครั้งนี้ บริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ หมายมั่นปั่นมือไว้ว่า จะใช้ความแข็งแกร่งของดีเคเอสเอชเข้ามาช่วยในการขยายธุรกิจไปในตลาดอาเซียน โดยในส่วนของประเทศที่บริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ ได้ทำการศึกษาไว้ว่าจะส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาด คือ มาเลเซีย, สิงคโปร์ และเวียดนาม
นายสมโภช ชวาลเวชกุล กรรมการผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท สก๊อต อินดัสเตรียล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า การจับมือร่วมกับ ดีเคเอสเอช ในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญในประวัติศาสตร์ เพราะการมี ดีเคเอสเอช เป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ถือเป็นกลไกสำคัญในการขยายตลาดเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพและความงาม ภายใต้เครื่องหมายการค้า “สก๊อต” เนื่องจาก ดีเคเอสเอช จะเข้ามาดูแลด้านการขยายตลาดผลิตภัณฑ์ “สก๊อต” ในประเทศไทยสำหรับร้านค้าทั่วไป ส่วนช่องทางการขายในด้านของห้างค้าปลีกบริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ ยังคงดูแลด้วยตัวเอง
แนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว บริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ หมายมั่นปั่นมือว่า จากความแข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในด้านของการกระจายสินค้าของดีเคเอสเอช จะสามารถช่วยกระจายสินค้าของสก็อตไปสู่ช่องทางการขายใหม่ๆ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายทุกพื้นที่ทั่วประเทศได้สำเร็จภายในสิ้นปี 2560 นี้
นอกจากจะเตรียมความพร้อมในด้านของการกระจายสินค้าที่ต้องเข้าถึงผู้บริโภคทั่วประเทศแล้ว ในด้านของปริมาณสินค้าที่จะนำมาจำหน่าย บริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ ก็มีการเตรียมความพร้อมไว้อย่างดีเช่นกัน ด้วยการเพิ่มกำลังการผลิตเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพและความงามไว้มากกว่า 700 ล้านขวดต่อปี เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้าทั้งในประเทศและต่างประเทศที่จะบุกเข้าไปทำตลาดมากขึ้น
หลังจากหันมาเสริมความแข็งแกร่งช่องทางขายในส่วนของร้านค้าทั่วไปมากขึ้น บริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2560 นี้จะสามารถเพิ่มสัดส่วนการขายในช่องทางร้านค้าทั่วไปจาก 15% เพิ่มเป็น 30% ได้อย่างแน่นอน หลังจากนั้นภายใน 3-4 ปี นับจากนี้ คาดว่าจะสามารถเพิ่มสัดส่วนช่องทางขายระหว่างร้านค้าทั่วไปกับห้างค้าปลีกให้มาอยู่ที่ 50 : 50
นอกจากนี้ บริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ ยังมีแผนที่จะนำเสนอสินค้าใหม่เข้าทำตลาด ด้วยการวิจัยและพัฒนาสินค้า 4 กลุ่มหลัก คือ ซุปไก่สกัด, รังนก, เครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น และเครื่องดื่มคอลลาเจน เข้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับผู้บริโภค เนื่องจากปัจจุบันการแข่งขันของธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพและความงาม นับวันจะมีความรุนแรงมากขึ้น ซึ่งจากแนวโน้มที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ในปี 2560 นี้ บริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ ต้องเพิ่มงบการทำตลาดจาก 450 ล้านบาทเป็น 600 ล้านบาท เพื่อทำกิจกรรมส่งเสริมการขายและโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าอย่างต่อเนื่องตลอดทั้งปี
การออกมาปรับทัพธุรกิจเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพและความงามในครั้งนี้ บริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ หมายมั่นปั้นมือว่าสิ้นปี 2560 นี้ จะสามารถเพิ่มยอดขายในส่วนของกลุ่มยอดขายซุปไก่สกัด ซึ่งถือเป็นสินค้าหลักในการทำรายได้อยู่ที่ 4,500 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 30% เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 3,300 ล้านบาท เติบโตจากปี 2558 เพียง 6% เท่านั้น และจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว บริษัท สก็อต อินดัสเตรียลฯ ก็มั่นใจว่าจะสามารถชิงส่วนแบ่งการตลาดซุปไก่สกัดได้มาอีก 5% หรือจาก 10% เพิ่มเป็น 15% ตีตื้นผู้นำตลาดอย่าง “แบรนด์” ซึ่งปัจจุบันกินส่วนแบ่งการตลาดซุปไก่สกัดมากถึง 90%
นายสมโภช กล่าวว่า ภาพรวมของเศรษฐกิจไทยปี 2560 น่าจะปรับตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้น โดยเฉพาะกระแสเรื่องการดูแลสุขภาพก็น่าจะมาแรงเช่นกัน เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใส่ใจบริโภคอาหารเสริมเพื่อสุขภาพกันมากขึ้น และจากการที่บริษัทมีพันธมิตรที่แข็งแกร่งอย่างดีเคเอสเอช เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งในด้านของการกระจายสินค้า บริษัทมั่นใจว่าสินค้าภายใต้ตราสินค้า สก็อต จะสามารถเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายได้ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ แม้ว่า บริษัท เซเรบอสฯ จะเป็นผู้นำตลาดซุปไก่สกัด ตลาดรังนก ตลาดเครื่องดื่มผลไม้สกัดเข้มข้น และตลาดเครื่องดื่มคอลลาเจน ภายใต้ตราสินค้า แบรนด์ แต่บริษัท เซเรบอสฯ ก็ไม่วางใจคู่แข่งในตลาด เห็นได้จากการผนึกกับพันธมิตรอีก 2 รายในไทยคือ บริษัท เดอเบล จำกัด ให้เข้ามาดูแลรับผิดชอบช่องทางร้านค้าทั่วไปหรือเทรดดิชันนัลเทรด และอีกราย คือ บริษัท ซีโน-แปซิฟิก เทรดดิ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด รับผิดชอบช่องทางโมเดิร์นเทรด เพื่อเสริมความแข็งแกร่งช่องทางการทำตลาด
แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท เซเรบอสฯ ดังกล่าว ถือเป็นการเดินตามนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแม่ ที่หากประเทศไทยใช้กลยุทธ์ใดแล้วประสบความสำเร็จก็สามารถนำกลยุทธ์นั้นมาปรับใช้ได้ ซึ่งแนวทางดังกล่าวที่ไต้หวันทำมาแล้ว 5 ปี ขณะที่สิงคโปร์ทำมาแล้วเมื่อปี 2557 และมาเลเซียทำมาแล้วเมื่อปี 2558 โดยหลังจากหาพันธมิตรรายใหม่เข้ามาช่วยเสริมความแข็งแกร่งในด้านของการกระจายสินค้า ส่งผลให้แต่ละประเทศมียอดขายเติบโตได้มากกว่า 10-20%
นายตุลย์ วงศ์ศุภสวัสดิ์ รองประธานอาวุโส และผู้จัดการทั่วไป บริษัท เซเรบอส (ประเทษไทย) จำกัด กล่าวว่า ผลการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา บริษัทจะมียอดขายรวมของผลิตภัณฑ์แบรนด์เติบโตอยู่ที่ประมาณ 7-8% และในปี 2559 ที่ผ่านมา มียอดขายรวมอยู่ที่ประมาณ 12,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนรายได้ที่มาจากซุปไก่สกัด 7,000 ล้านบาท และมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ประมาณ 90% ส่วนรังนกมีรายได้อยู่ที่ 3,000 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่กว่า 60% และวีต้าน้ำผลไม้สกัดเข้มข้นมีรายได้อยู่ที่ประมาณ 1,500 ล้านบาท มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่กว่า 75% และสินค้าอื่นๆ มีรายได้อีกประมาณ 500 ล้านบาท ซึ่งหลังจากปรับแผนการดำเนินธุรกิจในด้านของช่องทางการกระจายสินค้าบริษัทมั่นใจว่าสิ้นปี 2560 น่าจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 8-10%
ปัจจัยที่ทำให้บริษัท เซเรบอสฯ มั่นใจว่าจะยังสามารถรักษาความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มบำรุงสุขภาพและความงามต่อไปได้ นอกจากจะเสริมความแข็งแกร่งในด้านของการกระจายสินค้าแล้ว ยังมีการใช้งบอีกกว่า 480 ล้านบาท ปรับปรุงระบบไอที สร้างทีมขายเอง การทำตลาดดิจิทัล เพื่อให้สินค้าเข้าถึงลูกค้าได้เร็วยิ่งขึ้น
ปัจจุบันตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและความงามมีมูลค่า 50,000 - 60,000 ล้านบาท และยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมาก โดยเฉพาะกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ เนื่องจากอีก 5 ปีประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มรูปแบบ ซึ่งตอนนั้นประเทศไทยจะมีประชากรสูงวัยมากกว่า 20% ของประชากรทั้งหมด จึงทำให้กลุ่มสินค้าอาหารเพื่อสุขภาพยังมีโอกาสขยายตัวได้อีกมาก ด้วยเหตุปัจจัยดังกล่าวทั้งแบรนด์ และสก็อตจึงต้องเร่งปรับตัว เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงและโอกาสทางธุรกิจที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต
ข่าวเด่น