ภายหลังการสาบานตนเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของนายโดนัลล์ ทรัมป์ สิ่งที่จะจับตามองเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้นเรื่องของนโยบายการค้า การลงทุน ที่จะมีส่งผลต่อประเทศเกิดใหม่ในเอเชีย
นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้นัดประชุมผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ หรือทูตพาณิชย์ ในช่วงที่ประเทศไทยได้จัดงานแสดงสินค้าอัญมณีและเครื่องประดับ ครั้งที่ 59 โดยเบื้องต้นกำหนดไว้วันที่ 20 ก.พ.2560 เพื่อประเมินสถานการณ์การส่งออกของไทยในประเทศต่างๆ ว่ามีแนวโน้มเป็นอย่างไร มีโอกาสในการส่งออกเพิ่มขึ้นมากน้อยแค่ไหน และต้องปรับแผนงานผลักดันการส่งออกเพิ่มเติมหรือไม่ เพื่อให้การส่งออกของไทยในปีนี้ขยายตัวตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ที่ 3%ให้ได้
ซึ่งแนวโน้มการส่งออกในปีนี้ มีทิศทางดีกว่าปี 2559 ที่ผ่านมา เพราะเศรษฐกิจโลกกลับมาขยายตัวดีขึ้น เศรษฐกิจของประเทศคู่ค้าสำคัญๆ มีทิศทางเติบโตดีขึ้น บวกกับกระทรวงพาณิชย์มีแผนที่จะรักษาตลาดเดิม และขยายตลาดใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ยิ่งเป็นแรงผลักดันให้การส่งออกในปีนี้ขยายตัวได้ดีขึ้น
รวมทั้งในการประชุมร่วมกับทูตพาณิชย์ ยังได้มอบนโยบายให้มีการประเมินปัจจัยเสี่ยงที่จะมีผลกระทบต่อการส่งออก เช่น นโยบายทางการค้าของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ จะส่งผลดี-ผลเสียต่อการส่งออกของไทยไปสหรัฐ หรือตลาดอื่นๆ หรือไม่ อย่างไร
สำหรับนโยบายทางด้านการค้าของทรัมป์ เบื้องต้น พบว่าสหรัฐมีท่าทีชัดเจนว่าจะเป็นปฏิปักษ์กับคู่ค้าสำคัญสูงสุด 2 ราย ได้แก่ จีนและเม็กซิโก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศของสหรัฐและต่อการค้าโลก ขณะเดียวกันสหรัฐฯก็มีนโยบายที่จะยกเลิกความตกลงหุ้นส่วนเศรษฐกิจภาคฟื้นแปซิฟิก (TPP) จะส่งผลดีต่อการส่งออกของไทยไปยังสหรัฐ ส่วนกรณี Brexit ปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยยังคงเหมือนเดิม เพราะอังกฤษยังไม่ได้ออกจากอียู ขณะที่กรณีราคาน้ำมันที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้น พบว่า เป็นโอกาสในการส่งออกของไทย.
ด้านมุมมองของภาคเอกชน นายนพพร เทพสิทธา ประธานสภาผู้ส่งสินค้าทางเรือแห่งประเทศไทย เชื่อว่า นโยบายของนายทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงของการค้าและเศรษฐกิจ ซึ่งจะเกิดการลงทุนและมีเม็ดเงินไหลกลับสู่สหรัฐฯ เศรษฐกิจจะเติบโตกว่าที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งขณะนี้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯที่แข็งค่าขึ้นได้ตอบรับนโยบายของทรัมป์ และจะมีทิศทางแข็งค่าขึ้นต่อ ขณะที่ค่าเงินบาทของไทยจะอ่อนตัวลงอยู่ในกรอบ 36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และอาจไปถึงระดับ 37 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐในช่วงปลายปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนต่อผู้ส่งออกไทย
แต่ยังต้องติดตามเกี่ยวกับนโยบายและภาวะเศรษฐกิจของสหรัฐว่าจะเป็นไปตามที่ประกาศหรือไม่ รวมทั้งติดตามการดำเนินมาตรการนโยบายทางการเงินของประเทศเศรษฐกิจสำคัญ โดยสภาผู้ส่งออกมองว่า ค่าเงินบาทยังคงมีความผันผวนและความไม่แน่นอนสูงในปีนี้
ข่าวเด่น