หลังจากออกมาประกาศแผนว่าในปี 2563 จะขยายสาขาโรงภาพยนตร์ให้ครบ 1,000 โรง แบ่งเป็นในประเทศไทย 900 โรง และในกลุ่มประเทศ CLMV 100 โรง บริษัท เมเจอร์ซีนีเพล็กซ์ จำกัด (มหาชน) ก็เดินหน้าขยายโรงภาพยนตร์สาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด ตลอดจนต่างประเทศ เพื่อให้การดำเนินธุรกิจขยายโรงภาพยนตร์เดินไปตามแผนงานที่วางไว้ โดยมีประเทศเกาหลีเป็นประเทศแม่แบบในการดำเนินธุรกิจ
ปัจจัยที่ทำให้ บริษัท เมเจอร์ฯ ยึดประเทศเกาหลีเป็นประเทศต้นแบบในการดำเนินธุรกิจ คือ พฤติกรรมของผู้บริโภคในการชมภาพยนตร์มีความคล้ายคลึงกัน แต่เนื่องจากจำนวนโรงภาพยนตร์ของประเทศเกาหลีมีมากกว่าในประเทศไทย เห็นได้จากปัจจุบันประเทศเกาหลีมีจำนวนโรงภาพยนตร์มากถึง 2,000 โรง ขณะที่ประเทศไทยมีจำนวนโรงภาพยนตร์เพียง 1,000 โรงเท่านั้น จึงทำให้การเข้าถึงผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายประเทศเกาหลีทำได้ดีกว่า เช่นเดียวกับการบริโภคภาพยนตร์ท้องถิ่น ซึ่งประเทศเกาหลีจะนิยมดูภาพยนตร์เกาหลีมากใกล้เคียงกับการดูภาพยนตร์ดังจากฮอลิวู้ด
จากเหตุผลดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท เมเจอร์ฯ มองเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในตลาดต่างจังหวัด เพราะยังถือว่ามีช่องว่างอีกมากให้เข้าไปขยายธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบันโรงภาพยนตร์ที่มีคุณภาพดีในตลาดต่างจังหวัดมีน้อยมาก ดังนั้น บริษัท เมเจอร์ฯ จึงขอปักธงลุยต่อในตลาดต่างจังหวัด โดยการเน้นทำเลระดับตำบล และอำเภอ เป็นทำเลใหม่ในการขยายธุรกิจ เพราะปัจจุบันห้างค้าปลีกอย่างห้างไฮเปอร์มาร์เก็ตหันไปขยายสาขาในทำเลดังกล่าวมากขึ้น
นายวิชา พูลวรลักษณ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แผนการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ บริษัทจะให้ความสำคัญกับการขยายสาขาโรงภาพยนตร์ในตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก เนื่องจากยังมีโอกาสให้เข้าไปขยายธุรกิจโรงภาพยนตร์ได้อีกมาก โดยเฉพาะระดับตำบลและระดับอำเภอ เพราะปัจจุบันธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบไฮเปอร์มาร์เก็ตเริ่มหันไปขยายสาขาในตลาดต่างจังหวัดระดับอำเภอและตำบลมากขึ้น
สำหรับพันธมิตรหลักที่บริษัท เมเจอร์ฯจะเข้าไปร่วมจับมือนำโรงภาพยนตร์เข้าไปเปิดให้บริการในระดับอำเภอและตำบล คือ ห้างบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ และห้างเทสโก้โลตัส เพราะปัจจุบันทั้ง 2 ห้างค้าปลีก เริ่มมีการปรับรูปแบบสาขาให้มีขนาดเหมาะสมกับพื้นที่ด้วยขนาดประมาณ 6,000-8,000 ตร.ม.มากขึ้น ซึ่งจากพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่ไม่มาก จึงทำให้ บริษัท เมเจอร์ จะเน้นการเปิดโรงภาพยนตร์ในแต่ละสาขาอยู่ที่ประมาณ 1-2 โรงเท่านั้น
นายวิชา กล่าวว่า การขยายสาขาใหม่ในตอนนี้ประมาณ 80-90% บริษัทจะเน้นไปที่ตลาดต่างจังหวัดเป็นหลัก ซึ่งนอกจากจะจับมือกับห้างบิ๊กซีซูเปอร์เซ็นเตอร์ และห้างเทสโก้โลตัสแล้ว บริษัทยังมีการจับมือกับห้างสรรพสินค้าโรบินสัน เพราะปัจจุบันโรบินสันเริ่มหันไปขยายสาขาในตลาดต่างจังหวัดมากขึ้น ส่วนห้างค้าปลีกอื่นๆ ขึ้นอยู่กับความเหมาะสม ซึ่งในส่วนของแผนการดำเนินธุรกิจในปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดโรงภาพยนตร์เพิ่มประมาณ 70-80 สาขา ภายใต้งบลงทุนรวม 1,000 ล้านบาท ซึ่งนอกจากจะเน้นการขยายสาขาในประเทศไทยแล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะขยายสาขาใหม่เพิ่มในประเทศกัมพูชา 1-2 สาขา และลาว 1 สาขา
ล่าสุด บริษัท เมเจอร์ฯ ได้มีการนำเข้าระบบการฉายจากประเทศอเมริกาด้วย “ระบบเลเซอร์ โปรเจคเตอร์” ครั้งแรกของเมืองไทย Christie® RGB Laser เทคโนโลยีเครื่องฉายเลเซอร์ใหม่ที่สุดและดีที่สุดในโลก เพื่อเพิ่มอรรถรสพร้อมมอบประสบการณ์การชมภาพยนตร์ที่เสมือนเข้าไปอยู่ในภาพยนตร์ ด้วยภาพที่คมชัดขึ้นในระดับ 4k หรือมากกว่าระบบเดิมถึง 2 เท่า ซึ่ง เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เป็นโรงภาพยนตร์แห่งเดียวของเมืองไทยที่นำระบบฉายพิเศษนี้มาฉายที่โรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์ เธียเตอร์ ชั้น 6 พารากอน ซีนีเพล็กซ์ โดยมี บริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) เป็นสปอนเซอร์หลัก
ทั้งนี้ ปัจจัยที่บริษัท เมเจอร์ฯ เลือกติดตั้งระบบฉายเลเซอร์ โปรเจคเตอร์ในโรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์ เธียเตอร์ เพราะเป็นโรงภาพยนตร์ขนาดใหญมีความกว้างถึง 24 เมตร รองรับผู้ชมได้ถึง1,092 ที่นั่ง ด้วยการออกแบบของ ดิเอโก้ กรอนด้า ผู้ออกแบบ Dolby Theatre และใช้เป็นสถานที่มอบรางวัลออสการ์ทุกปี โรงภาพยนตร์ครอบคลุมพื้นที่สองชั้น ด้วยสไตล์การตกแต่งคล้ายโรงละครในต่างประเทศพร้อมก้าวสู่ยุคเทคโนโลยีเจนเนอเรชันใหม่ของการฉายภาพและมอบประสบการณ์ใหม่ในการชมภาพยนตร์อย่างเป็นทางการในโรงภาพยนตร์สยามภาวลัย รอยัล แกรนด์ เธียเตอร์ เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
นายวิชา กล่าวว่า บริษัทจะไม่หยุดยั้งที่จะเป็นผู้นำอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในการนำระบบการฉายที่ให้อรรถรสในการชมภาพยนตร์ที่สนุก ตื่นเต้น เสมือนจริง และให้ความพิเศษกับลูกค้าที่เข้ามาชมภาพยนตร์ นับตั้งแต่การเป็นผู้นำระบบการฉายภาพยนตร์จอยักษ์ 3 มิติไอแมกซ์ การนำรูปแบบการฉายด้วยระบบดิจิตอล 2D, 3D และโรงภาพยนตร์ดิจิตอล 4DX เพื่อให้สอดคล้องรับกับเทรนด์ใหม่ของอุตสาหกรรมภาพยนตร์โลกที่ปรับเปลี่ยนสู่ยุคดิจิตอล ซึ่งลูกค้าคนรักหนังสามารถสัมผัสชมภาพยนตร์ในระบบต่างๆ ที่ทันสมัยได้ก่อนใคร ที่ เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป เป็นแห่งแรกในทุกระบบ ทุกสาขาทั่วประเทศ
หลังจากเดินหน้าขยายสาขาใหม่และเพิ่มบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง บริษัท เมเจอร์ฯ คาดว่าจะมีรายได้จากการขายบัตรชมภาพยนตร์เติบโตไม่ต่ำกว่า 15-20% จากปี 2559 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากภาพยนตร์ไทย 20% และภาพยนตร์ต่างประเทศ 80% เนื่องจากปีนี้มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากต่างประเทศเข้าฉายหลายเรื่อง เช่น ฟาสแอนฟีเรียส 8 และทรานส์ฟอร์เมอร์ส เป็นต้น
นอกจากนี้ ในส่วนของภาพยนตร์ไทยปีนี้ก็จะมีภาพยนตร์จากค่ายต่างๆ เข้าฉายเป็นจำนวนมากจากค่ายหนังต่างๆ ซึ่งในส่วนของบริษัทผลิตภาพยนตร์ในเครือเมเจอร์ฯ เอง ปีนี้ก็จะมีการผลิตภาพยนตร์เข้าฉายประมาณ 12 เรื่อง จากภาพยนตร์ทั้งหมดที่คาดว่าจะเข้าฉายในปีนี้ประมาณ 50-60 เรื่อง โดยแต่ละเรื่องที่จะจะผลิตเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ บริษัท เมเจอร์ฯ ได้มีการวางงบลงทุนไว้ที่เรื่องละประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนเป้าหมายแต่ละเรื่องว่าจะมีรายได้เท่าไรนั้น บริษัท เมเจอร์ฯ ยังไม่กล้าที่จะวางเป้าหมาย เนื่องจากปีที่ผ่านมาภาพยนตร์หลายเรื่องทั้งในเครือและนอกเครือมีรายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ค่อนข้างเยอะ
นายวิชา กล่าวอีกว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ในปีนี้ คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตประมาณ 15-20% เนื่องจากปีนี้มีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์จากฮอลลิวูดเข้ามาฉายเป็นจำนวนมาก ประกอบกับจะมีภาพยนตร์ไทยจากหลายค่ายเข้ามาฉายเพิ่มเติม ซึ่งทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ปีนี้น่าจะเติบโตดีกว่าปีที่ผ่านมา ซึ่งอุตสาหกรรมภาพยนตร์มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 6,000-7,000 ล้านบาท และจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ประกอบกับบริษัทเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์ คาดว่าสิ้นปี 2560 น่าจะมีรายได้เติบโตไปในทิศทางเดียวกับตลาด ซึ่งถือว่าสูงกว่าปีที่ผ่านมาที่อุตสาหกรรมภาพยนตร์เติบโตเพียง 6-7% เท่านั้น
จากจำนวนภาพยนตร์ฮอลลิวูดฟอร์มยักษ์ที่ตบเท้าเข้าฉายเป็นจำนวนมาก จะผลักดันให้ปีนี้เป็นปีทองของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ได้หรือไม่ คงต้องรอวัดกันที่อารมรณ์และกำลังซื้อของผู้บริโภคว่าจะช่วยหนุนหรือไม่
ข่าวเด่น