ยังคงมีการแข่งขันกันอย่างดุเดือดสำหรับธุรกิจค้าปลีกในย่านบางนา หลังจากภาครัฐออกมาประกาศนโยบายจะสร้างโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง (ลาดพร้าว-บางกะปิ-สำโรง) รวมระยะทางประมาณ 32 กม. จำนวน 25 สถานี และการก่อสร้างรถไฟฟ้ารางคู่ขนาดเบา (Light Rail) หรือ LRT สายบางนา-ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ รวมระยะทางประมาณ 18.3 กม. จำนวน 12 สถานีหลัก เพื่อขนส่งผู้โดยสารจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและประชาชนที่อยู่นอกเมืองเข้าเมือง ประกอบกับปัจจุบันจำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางผ่านเข้าออกสนามบินสุวรรณภูมิมีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ผู้ประกอบการค้าปลีกในย่านบางนาเล็งเห็นโอกาสในการขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น และหนึ่งในนั้นที่เตรียมปรับตัวรองรับจำนวนลูกค้าที่จะเพิ่มขึ้น คือ โครงการเมกาบางนา
จากที่ตั้งของตัวโครงการที่อยู่ไม่ไกลจากสนามบินสุวรรณภูมิ ประกอบกับตัวโครงการยังมีที่ดินเหลือให้พัฒนาบริการส่วนต่อขยายได้อีกประมาณ 200 ไร่ จากทั้งหมด 400 ไร่ ส่งผลให้ล่าสุด บริษัท เอสเอฟ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจศูนย์การค้าเมกาบางนา ตัดสินใจที่จะเดินหน้าพัฒนาส่วนต่อขยายทันที ด้วยการวางรูปแบบของโครงการส่วนต่อขยายเป็นมิกซ์ยูส ซึ่งจะประกอบไปด้วย โครงการศูนย์การค้า จำนวน 2 แห่ง อาคารจอดรถ โรงแรม 2 แห่ง อาคารสำนักงาน 1 แห่ง และโครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบคอนโดมิเนียมอีก 1 แห่ง
บริการที่จะนำมาเติมเต็มให้กับโครงการเมกาบางนาดังกล่าว บริษัท เอสเอฟฯ คาดหวังว่าหลังจากโครงการส่วนต่อขยายก่อสร้างเสร็จ ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะใช้ระยะเวลาประมาณ 14 ปี น่าจะทำให้โครงการเมกาบางนากลายเป็นโครงการเมกาซิตี้ หรือเมืองที่มีความครบวงจรมากที่สุดในย่านบางนา
นายคริสเตียน โอลอฟสัน กรรมการผู้จัดการ ศูนย์การค้าเมกาบางนา และโครงการเมกาซิตี้ บริษัท เอสเอฟ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า โครงการเมกาซิตี้ จะเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ที่พรั่งพร้อมสำหรับทุกคน เพราะนอกจากจะใช้ชีวิตทำงานได้อย่างสะดวกสบายแล้ว ยังเป็นสถานที่ช้อปปิ้ง พบปะสังสรรค์ และสถานที่มอบความสนุกสนาน เนื่องจากมีความบันเทิงไว้ให้บริการอย่างครบวงจร
สำหรับการก่อสร้างโครงการส่วนต่อขยายมิกว์ยูสนี้ บริษัท เอสเอฟฯ มีแผนที่จะใช้งบลงทุนประมาณ 67,000 ล้านบาท พัฒนาโครงการบนพื้นที่ที่เหลืออีกประมาณ 200 ไร่ เพื่อให้โครงการมีความครบวงจรและรองรับจำนวนลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการเพิ่มขึ้นในอนาคต จากปัจจุบันมีลูกค้าเข้ามาใช้บริการต่อวันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 2.5 แสนคน โดยในส่วนของโครงการแรกที่ได้เริ่มดำเนินการพัฒนามาตั้งแต่ปีที่ผ่านมา คือ การสร้างศูนย์การค้าเมกาบางนาส่วนต่อขยาย พร้อมลานจอดรถจำนวน 1,200 คัน
ทั้งนี้ ในส่วนของของพื้นที่ศูนย์การค้าแห่งใหม่นี้จะมีการเพิ่มบริการร้านอาหารชื่อดังอีกประมาณ 40 ร้าน รวมไปถึงการให้บริการท็อปส์ ฟู้ด แอนด์ ไวน์ ซูเปอร์มาร์เก็ต เพื่อให้ลูกค้ามีทางเลือกในการรับประทานอาหารมากขึ้น ซึ่งในส่วนของการก่อสร้างพื้นที่ดังกล่าว ซึ่งใช้พื้นที่ในการก่อสร้างประมาณ 10,000 ตร.ม. เบื้องต้น บริษัท เอสเอฟฯ ได้ใช้งบลงทุนไปประมาณ 2,000 ล้านบาท คาดว่าประมาณเดือน ธ.ค.นี้ น่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการ
ส่วนพื้นที่ค้าปลีกอีกด้าน ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการปรับปรุงพื้นที่ เพื่อพัฒนาเป็นศูนย์ความบินเทิง สันทนาการ กีฬา และการศึกษา จะใช้พื้นที่ในการก่อสร้างประมาณ 30,000 ตร.ม.นั้น คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จประมาณเดือน ธ.ค.2561 เนื่องจากพื้นที่ดังกล่าวจะมีพันธมิตรสถานออกกำลังกาย อย่าง ละติจูด จากออสเตรเลีย เข้ามาเปิดให้บริการในรูปแบบแฟลกชิฟสโตร์ครั้งแรกในประเทศไทยอีกด้วย
ในด้านของแผนการพัฒนาธุรกิจโรงแรม ซึ่งจะมีด้วยกัน 2 แห่งนั้น แห่งแรก บริษัท เอสเอฟฯ จะเป็นผู้พัฒนาเอง ด้วยการจ้างเชนโรงแรมชื่อดังระดับ 4 ดาวเข้ามาบริหาร โดยเบื้องต้นคาดว่าจะก่อสร้างห้องพักทั้งหมดประมาณ 240 ห้อง จำนวน 9 ชั้น ลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมเปิดให้บริการได้ประมาณเดือน ธ.ค.2561 ส่วนโรงแรมแห่งที่ 2 บริษัทจะหาพันธมิตรทางธุรกิจเข้ามาร่วมลงทุน เช่นเดียวกับการลงทุนโครงการอาคารสำนักงาน และคอนโดมิเนียม
สำหรับโครงการคอนโดมิเนียม บริษัท เอสเอฟฯ ไม่มีแผนที่จะพัฒนาโครงการด้วยตัวเอง โดยจะเปิดกว้างให้ผู้ที่มีความเชี่ยวชาญเข้ามาร่วมพัฒนาธุรกิจ โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับพันธมิตรในวงการอสังหาริมทรัพย์ เพื่อขายที่ดินจำนวน 5 ไร่ ภายในโครงการเมกาบางนา ให้เข้ามาพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะสร้างห้องพักได้ประมาณ 1,200 ห้อง คาดว่าเร็วๆ นี้ น่าจะได้ข้อสรุปการเจรจาพัฒนาโครงการ
นายคริสเตียน กล่าวว่า ขณะนี้ทางกรรมการผู้จัดการของศูนย์การค้าเมกาบางนา ได้เปิดโอกาสให้นักลงทุนหรือผู้ที่สนใจในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ต้องการจะร่วมลงทุนในแผนพัฒนาระยะยาวในหลากหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นอาคารสำหรับที่อยู่อาศัย สำนักงานออฟฟิศ โรงแรม หรือแม้กระทั่งรูปแบบอสังหาริมทรัพย์อื่นๆ เพื่อร่วมเข้ามาพัฒนาโครงการร่วมกัน ซึ่งขณะนี้ก็มีผู้สนใจเข้ามาเจรจาด้วยหลายรายแล้ว
อย่างไรก็ดี เพื่อให้ได้พันธมิตรที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจที่มีศักยภาพ บริษัท เอาเอฟฯ ได้มีการแต่งตั้งให้ บริษัท โจนส์ แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นตัวแทนในการคัดเลือกบริษัทที่จะเข้ามาเป็นผู้บริหารโรงแรมแห่งแรกของโครงการเมกาซิตี้
นางสุพินท์ มีชูชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โจนส์แลง ลาซาลล์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า โครงการเมกาบางนาตั้งอยู่ในย่านเศรษฐกิจที่สำคัญของถนนบางนา-ตราด และมีพื้นที่เศรษฐกิจใกล้เคียงเติบโตอย่างรวดเร็วเห็นได้จากจำนวนประชากรในย่านบางนาและใกล้เคียงที่มีมากกว่า 1 ล้านคน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง ขณะเดียวกันย่านดังกล่าว ยังเป็นพื้นที่เชิงพาณิชย์ที่มีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยปัจจัยสนับสนุนด้านโครงสร้างระบบสาธารณูปโภคพื้นฐานที่พัฒนาขึ้นเชื่อมต่อทั้งที่พัก และโครงการศูนย์อุตสาหกรรมอีสเทิร์นซีบอร์ด
นอกจากนี้ ถนนบางนา-ตราด ยังมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง และรถไฟฟ้ารางคู่บางนา-สุวรรณภูมิ ที่เป็นแรงเสริมการเติบโตของพื้นที่นี้ ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้ถนนบางนา-ตราด กลายเป็น “ฮับ” ยุทธศาสตร์สำคัญของการเดินทาง และการขนส่งในอนาคต ดังนั้น โครงการเมกาซิตี้ จึงเป็นโครงการที่มีศักยภาพในการแข่งขันสูง โดดเด่นเหนือชั้น และพร้อมจะตอบโจทย์ความต้องการในทุกรูปแบบ ทั้งการอยู่อาศัย เชิงพาณิชย์ และเป็นแลนด์มาร์กสำหรับการช้อปปิ้งท่องเที่ยวอย่างแท้จริง
ด้าน นายนพพร วิฑูรชาติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สยามฟิวเจอร์ ดีเวลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ เอสเอฟ บริษัทแม่ของบริษัท เอสเอฟ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กล่าวว่า พื้นที่ย่านบางนาเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพและมีการขยายตัวของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ทั้งบ้านจัดสรร และโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รูปแบบต่างๆ จากการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ดีดังกล่าว บริษัทจึงมีแผนที่จะสร้างโครงการเมกาบางนาให้มีความแข็งแกร่ง เพรียบพร้อมไปด้วยศูนยฺการค้า คอมมูนิตี้ ที่พักอาศัย และอาคารสำนักงาน เพื่อให้ผู้คนสามารถใช้ชีวิตอย่างมีความสุขและครบวงจรได้อย่างเต็มที่
หลังจากพัฒนาโครงการศูนย์การค้าแล้วสร็จทั้งหมดภายในสิ้นปี 2561 บริษัท เอสเอฟฯ คาดการณ์ว่าจะมีพื้นที่ค้าปลีกรวมทั้งหมด 2.4 แสนตร.ม. และมีร้านค้าเปิดให้บริการ ไม่ต่ำกว่า 900 ร้านค้า ส่วนภาพรวมจำนวนลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการ ก็คาดว่าจะเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 10% ส่วนในปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 8% เนื่องจากโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง และยังคงต้องจับตาดูสถานการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างใกล้ชิด แต่อย่างไรก็ดี บริษัท เอสเอฟฯ มั่นใจว่า ภาพรวมกำลังซื้อและเศรษฐกิจในประเทศไทยปีนี้ จะต้องปรับตัวดีขึ้นกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอน หลังจากภาครัฐอัดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจผ่านโครงการเมกะโปรเจคต่างๆ ซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวน่าจะเริ่มหมุนเข้าสู่ระบบในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้
ข่าวเด่น