คณะรองนายกรัฐมนตรีพร้อมด้วยเอสซีจีร่วมเจรจาการค้าระดับทวิภาคี ด้านการลงทุนและความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างประเทศไทย และประเทศเมียนมา
ดร. สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ประเทศไทย และประเทศเมียนมานั้นมีความคล้ายคลึงกันอย่างมาก รวมทั้งนโยบายการลงทุนในตลาดต่างประเทศ ก็เป็นส่วนสำคัญประการหนึ่งในการพัฒนาตัวเลขทางเศรษฐกิจของไทย ภาครัฐมีความยินดีและให้การสนับสนุนภาคธุรกิจไทยเข้ามามีส่วนร่วม และเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเมียนมาเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเอสซีจีดำเนินธุรกิจควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทย และสังคมของประเทศมากว่า 100 ปี โดยการดำเนินธุรกิจและเป็นผู้บุกเบิกการลงทุนในประเทศเมียนมา จึงมีความเชื่อมั่นว่า ด้วยความน่าเชื่อถือ และน่าไว้วางใจของ เอสซีจีจะสามารถริเริ่มสร้างเส้นทางการลงทุนในเมียนมาสำหรับอนาคตได้”
นายพิษณุ สุวรรณะชฎ เอกอัคราราชทูต ณ กรุงย่างกุ้ง กล่าวว่า “ทางสถานเอกอัคราชทูตไทย และกระทรวงต่างๆ ของภาครัฐ ขอสนับสนุนให้เอกชนไทยเริ่มเข้ามาลงทุนธุรกิจในประเทศเมียนมา เราเชื่อมั่นว่า ภาพรวมทางธุรกิจในประเทศเมียนมา บนหลัก 4R’S ได้แก่ ความเคารพ และให้เกียรติในคุณค่าของท้องถิ่น การสร้างผลตอบแทน การคืนประโยชน์สู่การลงทุนด้านทรัพยากรมนุษย์ และมีความรับผิดชอบต่อการลงทุน เป็นสิ่งที่เอสซีจีได้ยึดหลักในการปฎิบัติดังกล่าว รัฐบาลไทยมีเจตจำนงค์ที่จะกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเมียนมาให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น รวมทั้งสนับสนุนการลงทุน และกิจกรรมต่างๆ เพื่อสานสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างประชาชนชาวไทย และประเทศเมียนมา”
นายบรรณ เกษมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทเอสซีจี เทรดดิ้ง จำกัด ในเอสซีจี ซิเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง กล่าวว่า “เอสซีจีในฐานะสมาชิกองค์กรนักธุรกิจไทยในประเทศเมียนมา (Thai Business Association of Myanmar - TBAM) โดยได้ดำเนินธุรกิจโรงงานปูนซิเมนต์อยู่ที่ในประเทศเมียนมา ตั้งแต่ปี พ.ศ.2557 มองเห็นศักยภาพของตลาดประเทศเมียนมา จากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ และมีความต้องการในการพัฒนาด้านสาธารณูปโภคอย่างต่อเนื่อง เอสซีจีแนวทางในการดำเนินธุรกิจในประเทศเมียนมาเช่นเดียวกับประเทศไทยด้วยความรับผิดชอบต่อชุมชน สังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึง สร้างความยั่งยืนในด้านเศรษฐกิจ สร้างงาน สร้างรายได้ และพัฒนาศักยภาพของบุคคลากร รวมถึงพันธมิตรธุรกิจ
ข่าวเด่น