สภาพัฒน์ เผยจีดีพีปี 59  โต 3.2%  หลังรายได้เกษตรกรฟื้น - การใช้จ่ายและลงทุนภาครัฐฯ โต   ส่วนส่งออกทั้งปีขยายตัว 0% - นำเข้าติดลบ 4.7% ส่วนปี 60 คงเป้าจีดีพีโต  3-4% รับภาคส่งออกสดใส - การลงทุนรัฐฯ และเอกชนยังดีต่อเนื่อง   การท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี พร้อมเพิ่มเป้าส่งออกปีนี้ขยายตัว 2.9%  จาก 2.4% 
  
   
นายปรเมธี วิมลศิริ  เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช.  เปิดเผยว่า ในปี 2559 เศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 3.2% ตามที่คาดการณ์ไว้  ขณะที่ไตรมาส 4 ที่ผ่านมา ขยายตัวได้ 3% จากไตรมาส 3 ที่ขยายตัว 3.2%   ด้านการส่งออกทั้งปีขยายตัวได้ 0% ส่วนไตรมาส 4 ขยายตัวได้ 3.6%  การนำเข้าทั้งปีติดลบ 4.7% และไตรมาส 4 ขยายตัวได้ 6.7%  ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั้งปี 2559 ขยายตัวได้ 0.2% ด้านไตรมาส 4 ขยายตัวได้  0.7% ด้านดุลการค้าในปี 2559 เกินดุล 35,752 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ไตรมาส 4  เกินดุล 6,633 ล้านดอลลาร์  
    
สำหรับในไตรมาส 4 ของปี 2559   การใช้จ่ายภาคครัวเรือนขยายตัวได้ 2.5%  ต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่ขยายตัวได้ 3%  โดยมีแรงสนับสนุนจากการเริ่มปรับตัวดีขึ้นของฐานรายได้เกษตร  และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ  ด้านการใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคของรัฐบาลเพิ่มขึ้น 1.5%  ปรับตัวดีขึ้นจากการลดลงในไตรมาสก่อนที่ 5.2%  สอดคล้องกับมาตรการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณของภาครัฐ  ซึ่งส่งผลให้อัตราการเบิกจ่ายในไตรมาสนี้อยู่ที่ 32.1% สูงกว่าเป้าหมาย  30%  
    
ด้านการลงทุนภาครัฐในไตรมาส 4/2559 ขยายตัวได้ 8.6%  เป็นผลจากการลงทุนของรัฐวิสาหกิจและการลงทุนของรัฐบาลที่ขยายตัวได้ดีต่อ เนื่อง ด้านการลงุทนของภาคเอกชนลดลง 0.4% สำหรับทั้งปี 2559  การลงทุนภาครัฐขยายตัวได้ 9.9% ส่วนการลงทุนภาคเอกชนขยายตัวได้ 0.4%  ส่วนมูลค่าการขอรับการส่งเสริมการลงทุนผ่านคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน หรือ  บีโอไอ อยู่ที่ 584.4 ล้านบาท
   
สำหรับในปี 2560  ทางสภาพัฒน์คงเป้าหมายคาดการณ์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพี  ของไทยจะขยายตัวได้ 3-4% โดยคาดการลงทุนภาคเอกชนจะขยายตัวได้ 2.5%  ด้านการลงทุนภาครัฐจะขยายตัวได้ 14.4% ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนจะขยายตัวได้  2.8% การบริโภคภาครัฐขยายตัว 2.6%  
    
ด้านการส่งออกในปี 2560  จะขยายตัวได้ 2.9% เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่คาดขยายตัวได้ 2.4%  ด้านการนำเข้าคาดขยายตัวได้ 5.5% เพิ่มขึ้นจากการประมาณการครั้งก่อนที่คาด  4.5% ขณะที่ดุลการค้าคาดว่าจะเกินดุล 32.2 พันล้านดอลลาร์  ลดลงจากการประมาณการครั้งก่อนที่คาด 33.7 พันล้านดอลลาร์  ส่วนดุลบัญชีเดินสะพัดคาดเกินดุล 39.5 พันล้านดอลลาร์  ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่คาด 42.1 พันล้านดอลลาร์  ส่วนอัตราเงินเฟ้อคาดอยู่ที่ 1.2-2.2% จากเดิมคาด 1.0-2.0%  
    
“แรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในปี 2560  จะมาจากการฟื้นตัวของภาคการส่งออกที่มีความชัดเจนมากขึ้น  ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนให้การผลิตภาคอุตสาหกรรมและการลงทุนภาคเอกชนปรับตัว ดีขึ้น เช่นเดียวกับการผลิตภาคเกษตรที่มีแนวโน้มฟื้นตัว  จากปัญหาภัยแล้งสิ้นสุดลง  ซึ่งจะเป็นปัจจัยสนับสนุนให้รายได้และการใช้จ่ายภาคครัวเรือนในภาคเกษตรปรับ ตัวดีขึ้น  รวมทั้งแรงขับเคลื่อจากการใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐที่ยังอยู่ในเกณฑ์สูงต่อ เนื่องจากปีที่ผ่านมา  และรายได้จากการท่องเที่ยวที่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี”นายปรเมธี กล่าว   
     
ทั้งนี้ ในการประมาณการการลงทุนภาคเอกชนที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่  2.5%  โดยได้รับปัจจัยสนับสนุนจากแนวโน้มการปรับตัวดีขึ้นของภาคการส่งออกที่คาดว่าจะทำให้กำลังการผลิตส่วนเกินเริ่มปรับตัวลดลงอย่างช้าๆ  และกระตุ้นความต้องการลงทุนใหม่เพื่อขยายกำลังการผลิตได้มากขึ้น  ความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่อเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในเกณฑ์ดีและนักลงทุนมีความ เชื่อมั่นทางธุรกิจต่อเศรษฐกิจในปัจจุบันและอนาคต  
    
ขณะที่การลงทุนภาครัฐคาดว่าจะขยายตัวในเกณฑ์สูงที่ 14.4%  เนื่องจากการจัดทำงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมปีงบประมาณ 2560 วงเงิน 190,000  ล้านบาท  และแนวโน้มความคืบหน้าของโครงการลงทุนภาครัฐที่จะทำให้มีการเบิกจ่ายจากกรอบงบลงทุนของรัฐวิสาหกิจในปี 2560 มากขึ้น  โดยเฉพาะแผนปฏิบัติการด้านคมนาคมขนส่งและโครงการที่อยู่ระหว่างการประกวด ราคา 11 โครงการวงเงิน 532,651 ล้านบาท เป็นต้น  
    
อย่างไรก็ตาม  เศรษฐกิจไทยในปี 2560 ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่ต้องจับตามอง คือ  ระบบเศรษฐกิจและการเงินโลกมีความผันผวน ซึ่งต้องติดตามอย่างใกล้ชิด  ทั้งทิศทางและนโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐ  ทั้งในกลุ่มนโยบายด้านการลดภาษีและการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่จะเป็นปัจจัยเสี่ยงด้านบวก และในกลุ่มนโยบายด้านการค้า การลงทุน ความมั่นคง เป็นต้น  แนวโน้มผลการเจรจาและความสัมพันธ์ทางการค้าระหว่างสหราชอาณาจักรและสหภาพ ยุโรป ซึ่งคาดว่าจะเริ่มในช่วงปลายเดือนมีนาคมนี้  ความคืบหน้าของการเจรจาในการแก้ไขปัญหาของกรีซ  
    
สำหรับในปี 2560  สศช.คาดว่า ค่าเงินบาททั้งปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 35.5-36.5 บาทต่อดอลลาร์  อ่อนค่าจากปี 59 ที่อยู่ที่ 35.3 บาทต่อดอลลาร์  ตามแนวโน้มการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายอย่างค่อยเป็นค่อยไปของธนาคารกลาง สหรัฐในปี 2560 ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 2 ครั้ง  แต่สำหรับประเทศไทยนั้น มองว่า  ยังไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเร่งขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว  โดยการพิจารณาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยนั้นจะต้องดูอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ  และความเข้มแข็งของประเทศ  
    
“ของไทยเองต้องดูการขยายตัวของเศรษฐกิจ  และความเข้มแข็งว่ามีความพร้อมแค่ไหน แม้ว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจจะดีขึ้น  แต่เชื่อว่าภาครัฐ โดยภาคการคลังยังต้องติดตามดูแล  และไม่ถอยนโยบายภาคการคลังเร็วจนเกินไป เพื่อให้เกิดผลดีต่อความเชื่อมั่น  ด้านนโยบายการเงินจะต้องดำเนินไปด้วยการสอดคล้องกับภาคการคลัง  และจะต้องสนับสนุนการฟื้นตัวด้วย ดังนั้นจึงมองว่า  ไทยอาจไม่จำเป็นต้องขึ้นดอกเบี้ยเร็วในปีนี้  เพราะจะต้องดูหลายอย่างประกอบการพิจารณาในการขึ้นอัตราดอกเบี้ย”นายปรเมธี  กล่าว 
   
ด้านราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยในปี 2560 จะอยู่ที่ 47-57  ดอลลาร์ต่อบาเรล เพิ่มขึ้นจากปี 2559 ที่อยู่ที่ 41.4 ดอลลาร์ต่อบาเรล  โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการบรรลุข้อตกลงเพื่อลดกำลังการผลิตน้ำมันดิบของ กลุ่มประเทศ OPEC และ Non-OPEC ที่จะลดกำลังการผลิตลง 1.8 ล้านบารเรลต่อวัน   การเพิ่มขึ้นของปริมาณความต้องการใช้น้ำมันตามแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โลก
ข่าวเด่น