เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ออกมาประกาศยุทธศาสตร์การขับเคลื่อนธุรกิจระหว่างโลกออนไลน์ และออฟไลน์ให้เป็นหนึ่งเดียวกันสำหรับบริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด หลังจากพฤติกรรมของลูกค้าในโลกปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก ภายหลังจากเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตของผู้บริโภคมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ชีวิตประจำวันของผู้บริโภค หรือการดำเนินธุรกิจ
จากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท กลุ่มเซ็นทรัลต้องออกมาประกาศยุทธศาสตร์ Digital Centrality เชื่อมโยงลูกค้าผ่านโลกออนไลน์และออฟไลน์ให้เป็นหนึ่งเดียวกัน เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าทั่วโลก ด้วยการเข้าถึงความต้องการของลูกค้าแบบทุกมิติ ควบคู่ไปกับการสร้างประสบการณ์พิเศษให้ลูกค้าเกิดความประทับใจ โดยอาศัยจุดแข็งของกลุ่มเซ็นทรัลต่อยอดสู่ความสำเร็จ โดยการพัฒนาออนไลน์ แพลตฟอร์ม และประสบการณ์ออมนิแชแนลของกลุ่มเซ็นทรัลในฐานะผู้นำในตลาดค้าปลีก เพื่อตอบรับกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นดังกล่าว เห็นได้จากไลฟ์สไตล์ของคนไทยที่แยกออกจากโลกดิจิตอลไม่ได้ เนื่องจากปัจจุบันคนไทยมีอัตราการครอบครองสมาร์ทโฟน เพื่อเข้าถึงสื่อดิจิทัลเพิ่มขึ้น สังเกตุได้จากจำนวนสมาร์ทโฟนของประชากรไทยในปัจจุบันที่มีมากถึง 83 ล้านเครื่อง หรือคิดเป็น 1 คน ต่อโทรศัพท์มือถือ 1.2 เครื่อง โดยในส่วนของอัตราการถือครองดังกล่าว 64% ของผู้ใหญ่มีสมาร์ทโฟนเป็นของตนเอง
นอกจากนี้ ยังพบว่า 38 ล้านคน ใช้โซเชียลมีเดียเป็นประจำ ส่งผลให้มีการใช้โซเชียลมีเดียเพิ่มขึ้น 19% จากปี 2558 โดยในแต่ละวันมีการใช้เวลาในการท่องโลกอินเตอร์เน็ตผ่านโทรศัพท์มือถือ ประมาณ 4.45 ชั่วโมง และ 44% ใช้เวลาไปกับการซื้อสินค้าหรือบริการออนไลน์ ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว ทำให้พบว่าลูกค้ามีความต้องการสินค้าและบริการที่ดีกว่าเดิม
สำหรับความต้องการหลักที่ต้องการเพิ่มขึ้นมีอยู่ด้วยกัน 5 ข้อ คือ 1.ต้องการได้รับประสบการณ์สุดพิเศษประทับใจ (Experience) 2.ต้องการที่จะเข้าถึงสินค้าและบริการได้ทุกที่ทุกเวลา ตลอด 24 ชั่วโมง (Always on) 3. ต้องการความสะดวกสบายเรียบง่ายสูงสุด (Convenience & Simplicity) 4. ต้องการความพิเศษเพื่อตัวเองโดยเฉพาะ (Personalization) และ 5.ต้องการให้โลกออนไลน์และออฟไลน์รวมเป็นหนึ่งเดียวกัน (Online and offline become one) ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว ส่งผลให้บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล ในฐานะผู้นำธุรกิจค้าปลีกของไทย จึงเล็งเห็นโอกาสในการขยายธุรกิจเข้ามาสู่โลกออนไลน์
นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้บริษัทจะให้ความสำคัญกับธุรกิจออนไลน์มากขึ้น โดยปีนี้จะเป็นปีแรกที่บริษัทจะหันมาปรับกลยุทธ์การทำธุรกิจออนไลน์อย่างจริงจัง เพื่อปูพื้นฐานธุรกิจสู่ออนไลน์ในอนาคต เนื่องจากธุรกิจดังกล่าวกำลังมา ดังนั้นบริษัทจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นในด้านของคน หรือเทคโนโลยี เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงความต้องการของผู้บริโภคและเทคโนโลยีที่กำลังจะเปลี่ยนไป
ในส่วนของกลยุทธ์การปรับทิศทางธุรกิจ เพื่อก้าวเข้าสู่ Digital Centrality นับจากนี้ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จะเน้นการกลยุทธ์การก้าวเข้าสู่โลกออนไลน์ด้วยกัน 5 ข้อ ประกอบด้วย 1.การสร้างวัฒนธรรมการให้บริการโดยมีลูกค้าเป็นศูนย์กลาง 2.การดำเนินแผนการตลาดและการสื่อสารในรูปแบบใหม่ 3.การเพิ่มศักยภาพบุคลากรทางด้านดิจิตอล 4. ใช้ศักยภาพที่แข็งแกร่งของทั้งกลุ่ม 5.รวมศูนย์และใช้ศักยภาพด้านการบริหารจัดการให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อให้เซ็นทรัลเป็นไลฟ์สไตล์ ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ ที่ทุกคนต้องมา พร้อมกับเพิ่มสายสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับคู่ค้าและสร้างพันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ด้วยการพัฒนา online platform ที่ดีที่สุดในโลก พร้อมมอบประสบการณ์ที่ดีผ่านช่องทาง Omnichannel และเพิ่มคุณค่าของสินค้าและบริการแบบใหม่ให้ลูกค้าประทับใจมากที่สุด
จากแนวทางการดำเนินธุรกิจดังกล่าว บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล มั่นใจว่า อีก 5 ปีนับจากนี้ สัดส่วนของรายได้ที่มาจากช่องทางออนไลน์น่าจะปรับเพิ่มขึ้นจาก 1% ในปีนี้ เป็น 15% ได้อย่างแน่นอน เนื่องจากแนวโน้มความต้องการซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์กำลังได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
สำหรับภาพรวมแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2560 นี้ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล มีแผนที่จะใช้งบลงทุนประมาณ 45,534 ล้านบาท ขยายการลงทุนทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยในส่วนของธุรกิจศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าใหม่ในประเทศไทยปีนี้มีแผนจะเปิดเพิ่มอีกประมาณ 6 แห่ง แบ่งเป็นศูนย์การค้า 2 แห่ง คือ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา นครราชสีมา และศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา มหาชัย ห้างสรรพสินค้า 3 แห่ง คือ ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อ.มหาชัย จ. สมุทรสาคร ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ จ.เพชรบุรี และห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ จ.กำแพงเพชร นอกจากนี้ ยังมีการเปิดท็อปส์ พลาซา อีก 2 แห่ง คือ ท็อปส์ พลาซา จ.พิจิตร และท็อปส์ พลาซา จ.พะเยา
ส่วนแผนขยายธุรกิจห้างหรูในต่างประเทศปีนี้มี 1 แห่ง คือ ห้างสรรพสินค้าลารินาเชนเต กรุงโรม ประเทศอิตาลี นอกจากนี้ ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจโรงแรมใหม่ทั้งในประเทศและนอกประเทศอีก 4 แห่ง คือ โรงแรมปาร์ค ไฮแอท โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ เวสต์เบย์ เมืองโดฮา ประเทศกาตาร์ กำหนดเปิดไตรมาสที่ 2 ปี 2560 จำนวนห้อง 357 ห้อง ,โรงแรมเซ็นทารา มัสกัต ประเทศโอมาน กำหนดเปิดไตรมาสที่ 2 ปี 2560 จำนวนห้อง 154 ห้อง และโรงแรมโคซี่ เฉวง จังหวัดสมุย กำหนดเปิดไตรมาสที่ 3 ปี 2560 จำนวนห้อง 151 ห้อง
ขณะเดียวกัน ก็มีแผนที่จะขยายธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบของคอนโดมิเนียมอีก 3 โครงการ ภายใต้แบรนด์เอสเซ็นท์ คือ โครงการจ.เชียงราย 312 ยูนิต จ.เชียงใหม่ 470 ยูนิต และ จ.นครราชสีมา 380 ยูนิต พร้อมนี้ ยังมีแผนที่จะขยายธุรกิจซุปเปอร์มาร์เก็ต และร้านสะดวกซื้อมากกว่า 350 ร้าน ขยายร้านค้าเฉพาะทางอีกกว่า 100 ร้าน และขยายร้านอาหารอีกกว่า 70 ร้าน เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการของลูกค้า ซึ่งนอกจากจะขยายธุรกิจใหม่แล้ว ยังมีแผนที่จะปรับปรุงธุรกิจเก่าอีก 4 โครงการ ประกอบด้วย ศูนย์การค้าเซ็นทรัลเวิลด์ ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา พระราม 3 ห้างสรรพสินค้าลา รีนาเชนเต เมืองตูริน และโอเพ่น เฮาส์ ชั้น 6 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล เอ็มบาสซี
หลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปี 2560 จะมีรายได้อยู่ที่ 382,200 ล้านบาท เติบโตประมาณ 14.9% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 332,700 ล้านบาท เติบโต 17.2% จากปี 2558 ที่มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 283,450 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล มีรายได้เติบโตสวนกระแสปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ คือ การเดินหน้าขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการเปิดศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา นครศรีธรรมราช การเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสัน สาขานครศรีธรรมราช ภายใต้คอนเซ็ปต์ใหม่ “ไลฟ์สไตล์ ดีพาร์ทเมนต์สโตร์ หรือการเปิดห้างสรรพสินค้าโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ลพบุรี ภายใต้คอนเซ็ปต์ EAT-SHOP-PLAY
นอกจากนี้ ยังมีการเปิดร้านค้าใหม่ในไทยและเวียดนาม อีกประมาณ 271 แห่ง แบ่งเป็น ร้านอาหาร 81 แห่ง ร้านสะดวกซื้อ 48 แห่ง ซุปเปอร์มาร์เก็ต 44 แห่ง ร้านค้าเฉพาะทาง 69 แห่ง และร้านสินค้าแฟชั่น 27 แห่ง การเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียม “Escent” ภายใต้บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ทั้งหมด 3 แห่งใน จ. เชียงใหม่ จ.ระยอง และ จ. ขอนแก่น การเปิดโรงแรมใหม่ ภายใต้เครือเซ็นทารา ทั้งหมด 3 แห่งใน พัทยา 2 แห่ง และ กระบี่ 1 แห่ง รวมไปถึงการควบรวม 2 กิจการ ได้แก่ ห้างสรรพสินค้าบิ๊กซี เวียดนาม และธุรกิจออนไลน์ซาโลร่า (Zalora) ซึ่งทุกธุรกิจที่เปิดใหม่ได้ผลการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดีเช่นเดียวกับธุรกิจที่มีการปรับรูปโฉมใหม่
ข่าวเด่น