"ธุรกิจความงาม" ถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มักจะเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ยังให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเองให้ดูดีอยู่เสมอ โดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภคผู้หญิง ซึ่งปัจจุบันอายุเป็นเพียงตัวเลขไปแล้ว จึงไม่น่าแปลกใจว่าทำไมช่วงที่เศรษฐกิจไม่ดี หลายกลุ่มธุรกิจอยู่ในภาวะชะลอตัว รายได้ถดถอย แต่ทำไมธุรกิจความงามยังมีอัตราการเติบโตดีอยู่  เช่นเดียวกับธุรกิจความงามในปี 2559 ที่ผ่านมา ที่ภาพรวมของอุตสาหกรรมความงามยังสามารถเติบโตสวนกระแสปัจจัยลบต่างๆ มาได้ที่ 6.5% หรือมีมูลค่าทางธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 1.54 แสนล้านบาท ถือเป็นอัตราการเติบโตที่สูงพอสมควร เนื่องจากขยายตัวสูงมากกว่าจีดีพีของประเทศถึงกว่า 1 เท่าตัว

สำหรับมูลค่าอุตสาหกรรมความงาม 1.54 แสนล้านบาท ดังกล่าว แบ่งเป็น ผลิตภัณฑ์ดูแลผิว 46%  ผลิตภัณฑ์ผม 19% ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 14% ผลิตภัณฑ์ที่ใช้ทำความสะอาดร่างกาย 17%  และผลิตภัณฑ์น้ำหอม 5%  โดยในส่วนของผลิตภัณฑ์ดูแลผิวปี 2559 ที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ 6.1% หรือมีมูลค่ายอดขายอยู่ที่ 70,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า 83% และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวกาย 17%  ขณะที่ภาพรวมตลาดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางปีที่ผ่านมา มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 7% หรือมีมูลค่ายอดขายอยู่ที่ประมาณ 21,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผิวหน้า 56% ริมฝีปาก 26% แต่งตา 17% และเล็บ 1% ส่วนตลาดผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผม ปีที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 6.3% หรือมีมูลค่าการขายอยู่ที่ 29,000 ล้านบาท แบ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผม 83% ผลิตภัณฑืจัดแต่งทรงผม 4% ผลิตภัณฑ์เปลี่ยนสีผม 11% และผลิตภัณฑ์ยืดดัดผม 1%

ทั้งนี้ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ดังกล่าว บริษัท ลอรีอัล(ประเทศไทย) จำกัด ล้วนเป็นผู้นำในธุรกิจทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑืดูแลผิวหน้า กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางที่จำหน่ายในช่องทางโมเดิร์นเทรด หรือกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเส้นผมที่มีช่องทางขายในร้านซาลอน นอกจากนี้ ยังเป็นแบรนด์ที่มีอัตราการเติบโตเร็วที่สุดในช่องทางโมเดิร์นเทรด ซึ่งจากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าว ส่งผลให้ปี 2559 ที่ผ่านมา บริษัท ลอรีอัลฯ มียอดขายเติบโตสูงกว่าภาพรวมอุตสาหกรรมความงามถึง 2 เท่า ด้วยการมียอดขายผลิตภัณฑ์โดยรวมอยู่ทีป่ระมาณ 123 ล้านชิ้น

จากความสำเร็จที่ได้รับส่งผลให้บริษัทแม่ของลอรีอัล ให้ความสำคัญกับการทำตลาดความงามในประเทศไทยเป็นพิเศษ  เนื่องจากตลาดความงามในประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มตลาดอาเซียน โดย ลอรีอัลประเทศไทย ก็เป็นหนึ่งสาขาที่ใหญ่ที่สุดในกลุ่มประเทศนี้เช่นกัน จากรายงานของยูโรมอนิเตอร์ (Euromonitor) ตลาดความงามและกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล (personal care) ในภูมิภาคเอเชีย แปซิฟิก มีขนาดใหญ่เป็นลำดับที่สามของโลก ซึ่งตลาดความงามในประเทศกำลังพัฒนาเช่นประเทศไทยนั้นจัดเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ช่วยขับเคลื่อนอัตราการเติบโตให้กับภูมิภาคนี้

               

นางนาตาลี เกอร์ชไตน์ เคอไรวดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลอรีอัล (ประเทศไทย) กล่าวว่า  แนวทางการดำเนินธุรกิจของบริษัทนับจากนี้ จะเน้นการขับเคลื่อนธุรกิจ ด้วยการส่งมอบความงามสำหรับทุกคน หรือ  Beauty For All โดยมุ่งทำให้ความงามมีความเป็นสากล เพื่อตอบสนองความต้องการด้านความงามที่หลากหลาย ด้วยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ความงามคุณภาพที่มีความปลอดภัยเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในส่วนของปีนี้ บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดไม่น้อยกว่าปี 2559 ที่เปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดมากกว่า 800 รายการ เพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าชาวไทย

นอกจากจะเดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่โดยใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเข้าช่วยในการขับเคลื่อนธุรกิจแล้ว บริษัท ลอรีอัลฯ ยังมีการกำหนดวิสัยทัศน์และวางกลยุทธ์การตลาดที่ชัดเจน ด้วยทีมงานผู้ที่เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ และเพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำในธุรกิจความงามของประเทศไทย บริษัท ลอรีอัลฯ จึงชู 4 กลยุทธ์หลักในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ไปสูงความสำเร็จ ดังนี้

1.การให้ความสำคัญกับผู้บริโภคโดยการยึดผู้บริโภคเป็นศูนย์กลาง หรือ Consumer Centricity จะมีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้บริษัทฯ สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างสมบูรณ์แบบ นอกจากนี้ นวัตกรรมและผลิตภัณฑ์ใหม่จะยังคงเป็นปัจจัยสำหรับการเสริมสร้างประสบการณ์ของแบรนด์ โดยจะมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ อย่างต่อเนื่องในรูปแบบและแพลตฟอร์มที่หลากหลาย

2. การเชื่อมต่อตลาดความงามกับโลกดิจิทัล ทั้งนี้เพื่อสร้างความผูกพันและเพื่อให้การสื่อสารเกิดประสิทธิภาพมากที่สุดกับผู้บริโภค ลอรีอัลจึงเดินหน้าสร้างช่องทางและวิธีการสื่อสารกับผู้บริโภคในหลากหลายรูปแบบ อาทิ ผ่านทางแคมเปญโฆษณาบนโทรทัศน์เพื่อตอบโจทย์ความสนใจของกลุ่มเป้าหมายวงกว้าง การจับมือกับพันธมิตรที่มีเนื้อหารายการเฉพาะที่โดดเด่น รวมถึงการเปิดตัวบัญชีไลน์ (LINE Official Account) เพื่อเชื่อมต่อกับกลุ่มผู้สนใจความงามโดยตรง

พร้อมกันนี้ ยังมีการแต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่ายดิจิทัลคนแรก เพื่อดูแลและวางแผนกลยุทธ์การดำเนินงานด้านดิจิทัลองค์รวม และนำทัพทีมงานด้านดิจิทัลที่มีจำนวนกว่า 20 คน โดนในปีที่ผ่านมานั้น การเติบโตด้านอีคอมเมิร์ซของลอรีอัล ประเทศไทย มีอัตราสูงกว่า 169% ซึ่งแสดงให้เห็นว่า บริษัท ลอรีอัลฯ สามารถปรับตัวเพื่อครองความเป็นผู้นำด้านความยุคดิจิทัลได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาการสื่อสารเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

3.การพัฒนาและดูแลบุคลากร ซึ่งการสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้ลอรีอัลเป็นองค์กรที่น่าทำงานที่สุดสำหรับพนักงานทุกคนยังถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญ บริษัท ลอรีอัลฯ จะคงการจัดโครงการอบรมและการพัฒนาอย่างสม่ำเสมอ รวมไปถึงให้ความสนใจในกลุ่มมิลเลนเนียล ซึ่งเป็นกำลังหลักที่ช่วยขับเคลื่อนพลังความคิดและนวัตกรรมให้องค์กร นอกจากนั้นยังเน้นการสนับสนุนการเติบโตในสายงาน ทั้งนี้ มีพนักงานคนไทยได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นผู้บริหารระดับสูง เพื่อแสดงให้เห็นว่าบริษัท ลอรีอัลฯ  ให้ความสำคัญกับการให้การสนับสนุนและมุ่งพัฒนาศักยภาพพนักงานคนไทยให้เติบโตในองค์กร

ส่วนกลยุทธ์ที่ 4  คือ การดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและกิจกรรมเพื่อสังคม หรือ แบ่งปันความงดงามให้ทุกสรรพสิ่ง (Sharing Beauty with All) จะยังเป็นสิ่งที่มีความสำคัญที่ดำเนินคู่กับการเติบโตธุรกิจ ด้วยการสร้างนวัตกรรม การผลิต การใช้ชีวิต และการพัฒนาอย่างยั่งยืนพื่อสร้างสรรค์ผลกระทบเชิงบวกต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมตามเป้าหมายปี 2563 ของ ลอรีอัลกรุ๊ป

นางนาตาลี กล่าวว่า  แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมความงามจะยังคงมีความผัวผวน แต่บริษัทมั่นใจว่าในปี 2560 นี้ จะยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตของยอดขายไว้ได้ ด้วยการมียอดขายเติบโตสูงกว่าภาพรวมตลาดความงาม 2 เท่าตัวเหมือนกับช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เพื่อตอกย้ำความสำเร็จในการเป็นผู้นำธุรกิจความงามในประเทศไทย

แม้ว่า วันนี้ บริษัท ลอรีอัลฯ จะถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีแล้วในการทำธุรกิจความงามในประเทศไทย แต่สิ่งที่บริษัท ลอรีอัลฯ อยากเกิดขึ้นเป็นสเต็ปต่อไป คือ การทำให้ทุกครัวเรือนของไทยมีผลิตภัณฑืของลอรีอัลอย่างน้อย 1 ชิ้น ด้วยเหตุนี้ บริษัท ลอรีอัลฯ จึงเปิดเกมรุกหนักทั้งการเปิดตัวสินค้าใหม่  และการขยายช่องทางขายใหม่ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้แบรนด์สินค้าเข้าไปอยู่ในใจของผู้บริโภคและครัวเรือนไทยทั่วประเทศ