การตลาด
สกู๊ป : "สหพัฒน์" ปลุกกลยุทธ์ SIM รับอานิสงส์เศรษฐกิจฟื้น


จากแนวโน้มเศรษฐกิจที่เริ่มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้นนับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่เดือนมี.ค.ที่ผ่านมา  ส่งผลให้หลายธุรกิจเริ่มมียอดขายปรับตัวในทิศทางที่ดีขึ้น หลังจาก 2 เดือนแรกยอดขายค่อนข้างอยู่ในภาวะที่ทรงตัว  ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าว ทำให้หลายธุรกิจเริ่มออกมาปล่อยกลยุทธ์ในการทำการตลาด  เพื่อชิงยอดขายในช่วงเศรษฐกิจฟื้น  เช่นเดียวกับบริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน) ที่ออกมายอมรับว่า  ภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วง 2 เดือนแรกต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้   เนื่องจากเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่หลายคนคาดการณ์

                
นอกจากนี้ ปัจจัยที่พันธมิตรทางธุรกิจรายใหญ่อย่างกระทิอร่อยดี  และผลิตภัณฑ์ไนกี้   มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ  ด้วยการดึงสินค้าที่เคยให้บริษัท สหพัฒน์ฯ เป็นผู้ทำตลาดและจัดจำหน่ายสินค้าให้    นำกลับไปทำการตลาดและกระจายสินค้าด้วยตัวเอง  ก็ถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยลบที่ทำให้ต้นปีที่ผ่านมา บริษัท สหพัฒน์ฯ ต้องประสบกับปัญหายอดขายต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้
               
 
อย่างไรก็ดี  แม้ว่ารายได้ที่เคยได้รับจากทั้ง 2 ธุรกิจจะมีมูลค่าสูงถึง 2,600 ล้านบาท จะหายไปจากกระเป๋า แต่บริษัท สหพัฒน์ฯ ก็สามารถหาสินค้าอื่นเข้ามาทดแทนรายได้ที่หายไปได้สำเร็จ  ด้วยการรับเป็นผู้ทำตลาดและจัดจำหน่ายสินค้าให้กับกระทิมะพร้าวหอม  ของ บริษัท สุรีย์ อินเตอร์ฟู้ดส์ จำกัด  และแบรนด์เสื้อผ้ากีฬา อันเดอร์ อาร์เมอร์ (Under Armour)
                
นอกจากนี้ยังมีแผน  ที่จะขยายคลังเก็บสินค้าจาก 30,000 ตร.ม. เป็น 50,000 ตร.ม. เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต  ภายใต้งบลงทุนประมาณ 600 ล้านบาท  ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะขยายจุดพักสินค้าเดโป้ไปที่เชียงใหม่ นครราชสีมา และศรีราชา รวมไปถึงการลงทุนพัฒนาระบบไอที เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต

นายบุญชัย โชควัฒนา ประธานกรรมการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า  บริษัทมั่นใจว่า ภาพรวมเศรษฐกิจในปีนี้จะขยายตัวในทิศทางที่ดีต่อเนื่อง  ซึ่งหลังจากบริษัทเดินหน้าขยายธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่องคาดว่าสิ้นปี 2560 นี้จะมียอดขายไม่ต่ำกว่า  33,000 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 10%  โดยในปี 2559 ที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายอยู่ที่กว่า 32,000 ล้านบาท   และเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ท้าทายดังกล่าว ในปีนี้บริษัทได้มีการพัฒนาภายในองค์กรด้วยการใช้กลยุทธ์ SIM (Strategic Marketing Planner – Initiator – Motivator) โดยการวาง Strategic Marketing Planner  ในทุกแผนก  เพื่อทำหน้าที่ค้นหายุทธศาสตร์ทางการตลาด พิจารณาว่าผลิตภัณฑ์แต่ละตัวจะต้องพัฒนาอย่างไรเพื่อให้ได้เป้าหมายที่ตั้งไว้ ส่วน Initiator เป็นวิธีที่จะกระตุ้นให้พนักงานทุกคนมีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และแต่ละแผนกจะมี Motivator เพื่อทำหน้าที่ถ่ายทอดนโยบายของบริษัทที่จะก่อให้เกิดการริเริ่มสร้างสรรค์สิ่งใหม่อยู่เสมอ
                
พร้อมกันนี้  บริษัท สหพัฒน์ฯ ยังมีแผน  ที่จะขยายช่องทางการจำหน่ายเข้าไปในพื้นที่แหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เช่น ปากช่อง เขาใหญ่ พัทยา และภูเก็ต เป็นต้น ควบคู่ไปกับการลงทุนพัฒนาศูนย์ข้อมูล (Data Center) ที่มีความปลอดภัยระดับมาตรฐานโลก รองรับการเติบโตทางด้านไอที  ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 30 ล้านบาท

นายเวทิต โชควัฒนา กรรมการรองผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน)  กล่าวว่า  การพัฒนา  Data Center หลักๆ ก็เพื่อรองรับการทำธุรกิจแบบ  B2B นั่นคือ “ร้านค้าทั่วไป” (General Trade) ซึ่งเป็นฐานหลักของ “สหพัฒน์” ที่มีความสำคัญในการเป็นเครือข่ายกระจายสินค้าเข้าถึงมือผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันร้านค้าเหล่านี้ ได้สานต่อการบริหารไปสู่รุ่นลูกรุ่นหลาน  ดังนั้น บริษัทจึงต้องมีการพัฒนาระบบ เพื่อให้สอดคล้องกับการทำธุรกิจในยุคปัจจุบัน โดยเมื่อเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้เริ่มทดลองใช้ระบบ Data Center ไปบ้างแล้ว  ทำให้จากเดิมเซลล์หน่วยรถของสหพัฒน์ต้องไปจดออเดอร์ หรือคำสั่งซื้อของร้านค้าจากที่ร้าน แต่เมื่อมีระบบ B2B ร้านค้าไหนที่เข้าร่วม จะทำให้การสั่งซื้อสินค้าเข้าร้านสะดวกขึ้น เพียงแค่ Log in เข้ามาที่ Account ส่วนตัวที่บริษัทฯ ตั้งไว้ให้กับร้าน เพื่อสั่งสินค้า จากนั้นร้านค้าก็สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านออนไลน์ได้เลย

อย่างไรก็ดี หลังจากทดลองมา 2-3  เดือน ตอนนี้มีลูกค้าให้ความสนใจเข้ามาใช้บริการสั่งซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์แล้วประมาณ 700 ร้านค้า จากทั้งหมดหลายแสนร้านค้า  ซึ่งจากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าว  ทำให้บริษัท สหพัฒน์ฯ  พบว่าความต้องการตรงนี้มากขึ้น  ดังนั้น จึงมีแผนที่จะพัฒนาระบบให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  เพื่อรองรับร้านค้าจากต่างจังหวัดที่จะเข้ามาใช้บริการสั่งซื้อสินค้า  จากปัจจุบันระบบดังกล่าวได้ทำการทดลองกับร้านค้าในเขตกกรุงเทพฯ เท่านั้น

นอกจากจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาในองค์กรแล้ว บริษัท สหพัฒน์ฯ ยังให้ความสำคัญกับการพัฒนาบุคลากรที่มีคุณภาพป้อนสู่สังคมด้วยการตั้งสถาบันยุทธศาสตร์ธุรกิจเชิงบวก (iSAB)  เพื่อเปิดรับผู้บริหารองค์กรภาครัฐ-เอกชน เจ้าของธุรกิจ หรือทายาทผู้ประกอบการ เข้าศึกษาในหลักสูตรประกาศนียบัตรนักบริหารยุทธศาสตร์เชิงบวก (The Master) ซึ่งเป็นหลักสูตรแรกของเมืองไทยที่จะช่วยพัฒนาศักยภาพและพลังความคิดสร้างสรรค์ของผู้เรียนด้วยกระบวนการคิดเชิงบวกควบคู่คุณธรรม โดยมีวิทยากรชั้นนำของประเทศและนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในการบริหาร มาร่วมกันถ่ายทอดความรู้ กลยุทธ์ รวมถึงหลักคิดเชิงบวกในการบริหารองค์กร ซึ่งการอบรมรุ่นที่ 1 นับว่าประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจ ผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ในการบริหารงานและดำเนินธุรกิจจริงในรุ่นที่ 1 รวม 84 คน ขณะนี้กำลังเปิดรับนักศึกษารุ่นที่ 2 ผู้สนใจดูรายละเอียดได้ที่ www.isabthailand.com หรือแฟนเพจ isabthailand”

ขณะที่กลยุทธ์ในการทำการตลาดปีนี้  จะมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แตกต่างไปจากปีที่ผ่านๆมา คือ จะหันมาทำการตลาดแบบโฟกัส มาร์เก็ตติ้ง  หรือโลคอล ไลฟ์ มาร์เก็ตติ้งมากขึ้น จากเดิมจะเน้นทำการตลาดแบบเนชั่น ไวด์ แคมเปญ เป็นหลัก เนื่องจากบริษัท สหพัฒน์ฯ พบว่า ปัญหาและอุปสรรคในการทำตลาดของแต่ละภูมิภาค  และในแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้น แผนการทำตลาดนับจากนี้ จึงจะเน้นทำการตลาดเจาะไปที่ภูมิภาค และแต่ละจังหวัดมากขึ้น  เพื่อให้กลยุทธ์การทำตลาดที่ทำไปเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่งตรงจุด

นอกจากนี้ ตลอดทั้งปียังมีแผนที่จะจับมือกับพันธมิตรทางธุรกิจรายใหม่เพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง  เช่นเดียวกับการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า  โดยในช่วงไตรมาสแรกที่ผ่านมา บริษัท สหพัฒน์ฯ มีลูกค้าใหม่ที่เข้ามาร่วมธุรกิจเพิ่มขึ้น  ขณะเดียวกันก็ได้มีการเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาด  เช่น  มาม่าคาโบนาร่า  มาม่าข้าวต้มรสหมูสับกระเทียมพริกไทย  มาม่ามัสมั่นไก่   โจ๊กมาม่าต้มยำกุ้ง  บะหมี่ซื่อสัตย์โวเคโน่ชีส ลูกอมโมรินากะ   ทิชชู่เปียกสำหรับเด็กกูนน์  แล ผลิตภัณฑ์กู๊ดเอจ  แปรงสีฟัน  ยาสีฟัน  น้ำยาบ้วนปาก  และโลชั่นบำรุงผิว เป็นต้น

 
ปีที่ผ่านมาบริษัท สหพัฒน์ฯ มียอดขายอยู่ที่ประมาณ 32,845 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่ 13.2%  ซึ่งถือว่าเกินความคาดหมายที่ตั้งไว้ว่าจะเติบโตประมาณ 10%  โดยในส่วนของยอดขายที่เติบโตเกินเป้าหมายดังกล่าว   เป็นผลมาจากการที่บริษัทได้ปรับรูปแบบการทำตลาดให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น  ด้วยการเน้นทำตลาดในพื้นที่ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายที่แท้จริงแทนการทำตลาดแบบครอบคลุมทั่วประเทศ   และมีการจัดโครงสร้างการบริหารการขายและการตลาดใหม่โดยใช้แนวคิด 3T+1 ได้แก่ Target (กำหนดเป้าหมาย) Timing (บริหารเวลา) Tracking (ติดตามผล) และ Teamwork (ทำงานเป็นทีม)

อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัท สหพัฒน์ฯ มียอดขายเติบโตสูงกว่าเป้าหมายที่วางไว้ในปี 2559 ที่ผ่านมา คือ ความสำเร็จจากการทำตลาดให้กับน้ำตาลมิตรผล ซึ่งปีที่ผ่านมา บริษัท สหพัฒน์ฯ สามารถทำยอดขายให้น้ำตาลมิตรผลได้มากถึง 3,667 ล้านบาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของน้ำตาลพิเศษ เช่น น้ำเชื่อม น้ำตาลทรายแดง  น้ำตาลอ้อยธรรมชาติ สามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ถึง 50 % ซึ่งจากความสำเร็จที่ได้รับดังกล่าวทำให้บริษัท สหพัฒน์ฯ มั่นใจว่าสิ้นปี 2560 นี้จะมียอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ตรงตามเป้าหมายที่วางไว้
 

LastUpdate 29/03/2560 12:48:17 โดย : Admin
26-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 26, 2024, 10:40 am