PwC เชื่อ 4 อุตสาหกรรมไทยเติบโตโดดเด่น อุตสาหกรรมการเกษตร อุตสาหกรรมบริการสุขภาพและการศึกษา อุตสาหกรรมการผลิต และอุตสาหกรรมบริการทางการเงิน
นายชาญชัย ชัยประสิทธิ์ หุ้นส่วนสายงานตรวจสอบบัญชี บริษัท PwC ประเทศไทย เปิดเผยว่า ในส่วนของประเทศไทย ตนมองว่า ยังมีโอกาสมหาศาลสำหรับผู้ประกอบการทั้งภายในและนอกประเทศในการเข้ามาเจาะตลาด ขยายฐานการผลิตและการลงทุน ด้วยแนวโน้มการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ มองว่า มี 4 กลุ่มอุตสาหกรรมในไทยที่มีโอกาสในการเติบโตอย่างโดดเด่น ได้แก่
1.อุตสาหกรรมการเกษตร ถือเป็นอุตสาหกรรมพื้นฐานสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยมากกว่า 1 ใน 3 ของจำนวนแรงงานทั้งหมดของประเทศ ล้วนเป็นแรงงานที่มาจากภาคการเกษตร เปรียบเทียบกับประเทศที่พัฒนาแล้วอย่าง สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร และเยอรมนี ที่มีแรงงานในกลุ่มนี้เพียง 1-2% เท่านั้น นอกจากนี้ การที่ภาครัฐฯ ส่งเสริมให้ไทยเป็นครัวของโลก (Kitchen of the World) ยิ่งเป็นปัจจัยที่ผลักดันการเติบโตของอุตสาหกรรมนี้ แต่อย่างไรก็ดี ไทยยังมีข้อจำกัดในเรื่องของโครงสร้างพื้นฐานด้านเกษตรกรรมและผลผลิตที่ไม่รองรับการเติบโตในอนาคต
ดังนั้นอุตสาหกรรมการเกษตรจึงมีความน่าสนใจ สำหรับผู้ประกอบการที่มีความเชี่ยวชาญหรือมีศักยภาพในการพัฒนาคุณภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการใช้เครื่องจักรเพื่อการเพาะปลูก การนำเทคโนโลยีเพื่อการเกษตรมาใช้ เช่น เทคโนโลยีที่ช่วยให้อุปกรณ์ต่างๆ สามารถส่งข้อมูลระหว่างกันผ่านแอปพลิเคชัน (Machine-to-machine applications) และบริการเสริมด้านการเกษตรผ่านระบบมือถือ (Mobile value-added services) เพื่อช่วยในการเข้าถึงข้อมูลด้านการเกษตร ตรวจสอบสภาพอากาศ และราคาสินค้าแบบเรียลไทม์ นอกจากนี้ ยังสอดคล้องกับความพยายามของรัฐฯ ในการปฏิรูปอุตสาหกรรมนี้ไปสู่การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเพื่อการเพาะปลูก เช่น หุ่นยนต์ระบบอัตโนมัติ ระบบเซ็นเซอร์ การวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูงและอื่นๆ เพื่อพัฒนาความเป็นอยู่ เพิ่มผลผลิตทางการเกษตร และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคอีกทางหนึ่งด้วย
2.อุตสาหกรรมบริการสุขภาพและการศึกษา ตลาดบริการสุขภาพทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวอย่างต่อเนื่อง โดยได้รับอานิสงส์จากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพและการเติบโตของกลุ่มชนชั้นกลางที่เพิ่มขึ้น โดยคาดการณ์ว่า ในปี 2565 ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพของตลาดเติบโตสูงจะอยู่ที่ราว 10.7% ต่อปี เปรียบเทียบกับตลาดที่พัฒนาแล้วที่ 3.7% ต่อปี และมีโอกาสที่ค่าใช้จ่ายต่อปีของตลาดเติบโตสูงจะแตะ 4 ล้านล้านดอลลาร์ในปีเดียวกัน โดยไทยถือเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการเติบโตด้านการใช้จ่ายด้านสุขภาพสูงกว่าจีดีพี เช่นเดียวกับ จีน อินเดีย และ อินโดนีเซีย
นอกจากนี้ เทรนด์ของการนำระบบดิจิทัลเพื่อสุขภาพรูปแบบใหม่ (Digital Health) มาใช้ยกระดับการให้บริการ โดยเฉพาะในตลาดเติบโตสูงกำลังเพิ่มขึ้นอย่างแพร่หลาย เพราะนอกจากจะเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษา ยังช่วยลดต้นทุนและทรัพยากรทางการแพทย์ ซึ่งแนวโน้มมูลค่าเงินลงทุนด้านดิจิทัลเฮลธ์ทั่วโลกในช่วงปี 2557-2558 ที่ผ่านมาสูงถึง 1.3 หมื่นล้านดอลลาร์
ในส่วนของระบบการศึกษา ไทยยังมีข้อจำกัดในด้านโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรที่ไม่เพียงพอ ทำให้เยาวชนที่มีโอกาสและความสามารถจำนวนไม่น้อย เลือกที่จะศึกษาต่อและทำงานในต่างประเทศแทน นี่จึงเป็นโอกาสในการลงทุนให้กับผู้ประกอบการในการขยายช่องทางการทำธุรกิจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตลาด e-learning ซึ่งคาดว่า ในปี 2563 ตลาด e-learning ทั่วโลกจะมีมูลค่าสูงถึง 126 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ไทยและประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคเอเชีย นำโดย จีน อินเดีย เมียนมา มาเลเซีย และเวียดนามจะก้าวเป็นผู้นำตลาดในอีก 5 ปีข้างหน้า โดยคาดว่า มูลค่าตลาดจะเติบโตเฉลี่ยที่ 26% ต่อปี ส่งผลให้ตลาดอาเซียนจะมีความต้องการคอนเทนต์ด้านการศึกษาเป็นอันดับ 1
3.อุตสาหกรรมการผลิต ไทยถือเป็นหนึ่งในศูนย์กลางการผลิตของโลก อีกทั้งยังเป็นฐานการผลิตยานยนต์และชิ้นส่วนรายใหญ่ของอาเซียน แต่หากไทยต้องการยกระดับขีดความสามารถในการแข่งขันไปอีกขั้น ต้องเร่งขยายตลาดไปสู่กลุ่มธุรกิจที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ยานยนต์ เคมี อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ให้มากขึ้น
นอกจากนี้ ด้วยต้นทุนแรงงานที่เพิ่มสูงขึ้น บริษัทต่างๆ จำเป็นต้องพัฒนาความสามารถหลักด้วยการนำเทคโนโลยีระบบอัตโนมัติเข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลในการผลิต รวมทั้งทำการประเมินฟุตพริ้นท์ นอกจากนี้ ในการขยายไปยังตลาดใหม่ๆ บริษัทต้องให้ความสำคัญในการตรวจสอบวิเคราะห์สถานะของธุรกิจ (Due diligence) เพื่อศึกษาข้อกำหนดในด้านการลงทุนและปัจจัยอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง
และ 4. อุตสาหกรรมบริการทางการเงิน พัฒนาการของตลาดการเงินของไทยมีแนวโน้มเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เพราะผู้เล่นในอุตสาหกรรมต่างปรับกลยุทธ์และกรอบความคิดในการนำเทคโนโลยีทางการเงินมาใช้กันอย่างคึกคัก รวมทั้งปัจจุบันรูปแบบการชำระเงินทางเลือกในไทยมีความหลากหลายมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การทำธุรกรรมที่ไม่ต้องใช้เงินสด การเข้ามาของผู้ประกอบการรายใหม่ที่ไม่ใช่สถาบันการเงิน เช่น ธุรกิจอีคอมเมิร์ซ และ ผู้ให้บริการเครือข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่
ขณะที่ข้อมูลของไอเอ็มเอฟระบุว่า อัตราการออมของไทยคาดว่าจะยังคงอยู่ในระดับสูง หรือ 30% ของจีดีพีในปี 2564 (เทียบ 33% ในปี 2558) สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสในการขยายการเข้าถึงบริการทางการเงิน โดยเฉพาะประชากรที่อาศัยอยู่ในท้องถิ่นห่างไกล ไม่มีบัญชีฝากธนาคาร หรืออยู่นอกระบบ เพราะมีข้อจำกัดในด้านเอกสาร หรือขาดความรู้ความเข้าใจในการใช้ หรือเข้าถึงแหล่งบริการทางการเงินต่างๆ ซึ่งถือเป็นทั้งโอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการในการเข้ามายกระดับบริการทางการเงินให้กับอุตสาหกรรม
ข่าวเด่น