ในขณะที่นายกรัฐมนตรี เทเรซา เมย์ ของอังกฤษประกาศการเริ่มกระบวนการแยกตัวจากสหภาพยุโรป (อียู) การอ่อนค่าของเงินปอนด์ได้ดึงดูดให้ทุนจากเอเชียแปซิฟิกและตะวันออกกลางหลั่งไหลเข้าอังกฤษเพิ่มมากขึ้น ตามการรายงานจากบริษัทที่ปรึกษาและบริการด้านอสังหาริมทรัพย์ เจแอลแอล
ค่าเงินปอนด์ที่อ่อนตัวลงหลัง BREXIT ประกอบกับมูลค่าอสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษที่ปรับตัวลดลงเล็กน้อย ส่งผลให้ทุนต่างชาติสามารถเข้าซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่มีประโยชน์การใช้ในเชิงธุรกิจ อาทิ อาคารสำนักงาน ศูนย์การค้าและโรงแรม ได้ในราคาที่ถูกลงเฉลี่ย 16% เมื่อเทียบกับช่วงก่อนอังกฤษลงประชามติให้ถอนตัวออกจากอียูเมื่อช่วงกลางปี 2559
แม้ในอดีตที่ผ่านมา การปรับตัวขึ้น-ลงของค่าเงินปอนด์จะไม่มีความเกี่ยวพันกันอย่างชัดเจนกับการไหลเข้าของเงินทุนจากต่างประเทศ แต่สำหรับในกรณีนี้ พบว่า การอ่อนค่าของเงินปอนด์นับเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนเอเชียสนใจต้องการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษมากขึ้น โดยเฉพาะทุนจากจีนและฮ่องกง
นายอลิสแตร์ เมโดวส์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการด้านการลงทุนของเจแอลแอลที่อังกฤษกล่าวว่า “จีนเริ่มมีบทบาทเพิ่มมากขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์โลก โดยขณะนี้ กลุ่มทุนจากจีนนับเป็นผู้ซื้อรายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากสหรัฐอเมริกา และเชื่อว่าจะมีบทบาทมากขึ้นเรื่อยๆ ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษ โดยเมื่อเร็วๆ นี้ มีนักลงทุนจำนวนมากทั้งจากจีนและประเทศอื่นๆ ของเอเชียแปซิฟิก สนใจเข้ามาลงทุนในอังกฤษ ซึ่งนับเป็นหนึ่งในตลาดการลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำที่สุดแห่งหนึ่งของโลก เป็นตลาดที่มีการซื้อขายคล่องและเป็นที่คุ้นเคยในหมู่นักลงทุนระหว่างประเทศ”
นายสจ๊วต โครว์ ผู้อำนวยการฝ่ายบริการด้านการลงทุนของเจแอลแอลภาคพื้นเอเชียแปซิฟิกกล่าวว่า “นักลงทุนเอกชนตอบสนองการอ่อนตัวลงของค่าเงินปอนด์อย่างรวดเร็ว ดังนั้น จึงกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญทั้งในแง่ของบรรยากาศการลงทุนและราคาในตลาดอสังหาริมทรัพย์ของอังกฤษ ซึ่งแม้จะมีการประกาศเริ่มกระบวนการถอนตัวออกจากอียู คาดว่านักลงทุนระหว่างประเทศ ไม่ว่าจะเป็นกองทุนหรือนักลงทุนสถาบัน จะหันกลับมาสนใจลงทุนในอังกฤษมากขึ้น จากการที่ราคาน่าดึงดูดใจ และดีมานด์หรือความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังคงมีอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง นอกจากนี้ จากการพูดคุยกับลูกค้าของเราที่เป็นนักลงทุนประเภทสถาบัน พบว่า มีหลายรายที่กำลังสนใจหาโอกาสการเข้าลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในลอนดอน”
จากการคาดการณ์ของเจแอลแอลและการประมาณการณ์ความเคลื่อนไหวค่าเงินโดย Oxford Economics นักลงทุนจีน สิงคโปร์ และฮ่องกง ที่เข้าไปซื้ออาคารสำนักงานในลอนดอนในปีนี้ อาจได้รับผลตอบแทนการลงทุนระหว่าง 5%-10%
ในปีที่ผ่านมา มูลค่าการลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษโดยนักลงทุนต่างชาติมีสัดส่วนคิดเป็น 51% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมด เพิ่มขึ้นจาก 48% ในปี 2558 ซึ่งเชื่อว่าส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการอ่อนค่าของเงินปอนด์ ทั้งนี้ สัดส่วนของมูลค่าการลงทุนโดยนักลงทุนจากเอเชียแปซิฟิกปรับเพิ่มขึ้นจาก 17% ในปี 2558 เป็น 28% ในปี 2559 และโดยนักลงทุนจากยุโรป (ไม่รวมอังกฤษ) เพิ่มขึ้นจาก 14% เป็น 23% ส่วนมูลค่าการลงทุนโดยนักทุนจากภูมิภาคอเมริกา ซึ่งหลักๆ คือสหรัฐฯ มีสัดส่วนลดลงจาก 32% เหลือ 17%
นายมาร์ติน พรินส์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจตัวแทนซื้อขายที่พักอาศัยระหว่างประเทศ เจแอลแอลในประเทศไทย กล่าวว่า “นับตั้งแต่อังกฤษลงประชามติให้ถอนตัวออกจากสหภาพยุโรปเมื่อกลางปีที่แล้ว ค่าเงินปอนด์อ่อนตัวลงไปเกือบ 20% เมื่อเทียบกับเงินบาท ทำให้มีคนไทยจำนวนมากขึ้นที่สนใจลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษในช่วงนี้ ซึ่งเห็นตัวอย่างได้จากการที่เมื่อเร็วๆ นี้ เจแอลแอลได้จัดแสดงโครงการคอนโดมิเนียมจากกรุงลอนดอนขึ้นในกรุงเทพฯ ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้สนใจซื้อชาวไทย โดยมียอดจองสูงเกินเป้า นอกจากนี้ เรายังคงได้รับการติดต่อสอบถามเข้ามาอย่างต่อเนื่องจากชาวไทยผู้มีฐานะถึงโอกาสลงทุนซื้ออสังหาริมทรัพย์ในอังกฤษ ซึ่งไม่เฉพาะแต่คอนโดมิเนียม แต่ยังรวมถึงอสังหาริมทรัพย์เชิงธุรกิจ เช่น อาคารพาณิชย์ด้วย”
ข่าวเด่น