หนี้ครัวเรือนปี 2559 ของไทย ลดลงเหลือ 79.9 % ครั้งแรกในรอบ 11 ปี และในปีนี้ยังมีแนวโน้มลดลงต่อเนื่องเป็นปีที่ 2
การปรับลดลงของหนี้ครัวเรือนในรอบ 11 ปี นับเป็นข่าวดี ในขณะที่รัฐบาลพยายามแก้ไขปัญหาหนี้ของประชาชนและสร้างแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง ตามรอยในหลวงรัชกาลที่ 9 พล.ท. สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ยินดีที่ได้รับทราบข้อมูลจากศูนย์วิจัยกสิกรไทยว่า หนี้ครัวเรือนของไทยลดลงเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี
โดยนายกฯ เน้นย้ำว่า การกู้เงินของพี่น้องประชาชนและการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินอย่างระมัดระวัง มีส่วนทำให้หนี้ครัวเรือนของประเทศลดลง โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ สินเชื่อบัตรเครดิต และสินเชื่อรายบุคคลที่ก่อนหน้านี้เป็นตัวก่อหนี้จำนวนมาก และต้องการให้ประชาชนรักษาวินัยในการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม รู้จักทำบัญชีรายรับรายจ่าย สร้างรายได้จากอาชีพเสริมและออมเงิน เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาหนี้สินในอนาคต
ทั้งนี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทย รายงานสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทยปี 2559 ว่า ได้สะท้อนภาพการชะลอความร้อนแรงลงจากปีก่อน เนื่องจากสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีปรับตัวลงราว 1.3% จากปี 2558 มาที่ระดับ 79.9% ต่อจีดีพี (ปี 2558 อยู่ที่ระดับ 81.2%) อันเป็นผลจากหนี้ครัวเรือนที่เติบโตในอัตราที่ต่ำกว่าการขยายตัวของจีดีพี จาก 1)การหดตัวของสินเชื่อภาคครัวเรือนที่ปล่อยโดยกลุ่มนอนแบงก์ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ซึ่งทำให้หนี้ครัวเรือนปรับลดลงถึง 0.6% ต่อจีดีพี
2) การปล่อยสินเชื่อด้วยความระมัดระวังตามนโยบายเครดิตที่เข้มงวดขึ้นของสถาบันการเงินส่วนใหญ่ ซึ่งเมื่อผนวกกับปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว กดดันให้สินเชื่อลูกค้ารายย่อยในหลายผลิตภัณฑ์เติบโตชะลอลงโดยพร้อมเพรียง ไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย ซึ่งมีสัดส่วนสูงสุดในหนี้ครัวเรือน (เกือบ 30%ของหนี้ครัวเรือน) ที่เติบโตชะลอลงตามยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑลที่ปรับลดลง สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคอย่างสินเชื่อบัตรและสินเชื่อส่วนบุคคล ที่ขยายตัวน้อยลงจนถึงหดตัวตามบรรยากาศการใช้จ่ายในประเทศที่ยังไม่ค่อยสดใสนัก และสินเชื่อเพื่อประกอบธุรกิจของครัวเรือน ที่ชะลอตัวตามทิศทางเศรษฐกิจและการลงทุนของภาคเอกชน
อย่างไรก็ดี คงต้องยอมรับว่า การปรับลดลงของสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพีเป็นครั้งแรกในรอบ 11 ปี แม้จะช่วยบรรเทาความกังวลต่อปัญหาหนี้สะสมของครัวเรือนและเสถียรภาพของระบบการเงินลงได้ในระดับหนึ่ง แต่ยอดคงค้างหนี้ครัวเรือนที่ปรับเพิ่มขึ้นราว 3.75 แสนล้านบาทจากปีก่อนหน้า หรือคิดเป็นยอดคงค้างที่ระดับ11.47 ล้านล้านบาท ณ สิ้นปี 2559 (เติบโต 3.4% เทียบกับปี 2558) บ่งชี้ว่า ภาระหนี้ครัวเรือนสะสมยังคงอยู่ในระดับสูงและเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งก็ยังคงเป็นโจทย์ระยะกลาง-ยาวของเศรษฐกิจไทยต่อไปอีกระยะหนึ่ง เพราะภาระหนี้ดังกล่าวอาจสร้างแรงกดดันต่อการบริโภคและกำลังซื้อของภาคครัวเรือน และส่งผลเชื่อมโยงไปถึงรายได้ของผู้ประกอบการที่พึ่งพิงกำลังซื้อในประเทศ
ส่วนแนวโน้มหนี้ครัวเรือนในปี 2560 นั้น ศูนย์วิจัยกสิกรไทย ปรับลดกรอบคาดการณ์ลงมาที่ระดับ 78.5 - 80.0% ต่อจีดีพี (บนสมมติฐานจีดีพีปี 2560 ขยายตัว3.3%) เทียบกับกรอบประมาณการเดิมที่ 80.5 - 81.5% โดยยังคงมุมมองเดิมว่า สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อจีดีพี มีโอกาสขยับลดลงเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ซึ่งการปรับลดประมาณการลงดังกล่าว สะท้อนผลของ 1) หนี้ครัวเรือนในปี 2559 ที่ชะลอลงมากกว่าประมาณการเดิมของศูนย์วิจัยกสิกรไทย 2) อานิสงส์จากผลของฐานจีดีพี (ณ ราคาปัจจุบัน) ที่ขยายตัวสูงกว่าหนี้ครัวเรือนต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน
และ 3) การชะลอตัวต่อเนื่องของสินเชื่อในกลุ่มนอนแบงก์ ซึ่งยังคงเผชิญแรงกดดันจากการปลดภาระหนี้รถยนต์คันแรกของผู้บริโภค และสหกรณ์ออมทรัพย์ ซึ่งระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้น เพื่อเฝ้าระวังปัญหาหนี้เสียและรองรับการเข้าสู่เกณฑ์การกำกับดูแลใหม่ของทางการ โดยคาดว่าธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจ ยังคงเป็นผู้ที่มีบทบาทหลักในการให้สินเชื่อแก่ภาคครัวเรือน
ข่าวเด่น