นางอภิรดี ตันตราภรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า ได้สั่งการให้สำนักงานพาณิชย์ในต่างประเทศ ตรวจสอบสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในพื้นที่ความรับผิดชอบของตนเองอย่างรอบด้าน เช่น การค้า การลงทุน การเมือง และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นปัจจัยที่จะส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างไทยกับประเทศคู่ค้าต่างๆ เหล่านี้ได้ นอกจากนั้นแล้วยังได้ย้ำให้เร่งรัดการจัดกิจกรรมในต่างประเทศช่วงไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ 2560 (เม.ย.-มิ.ย.) ทั้งในส่วนที่กระทรวงพาณิชย์ เป็นผู้ดำเนินการจัดเอง หรือไปเข้าร่วมกับงานในพื้นที่
“ในช่วงไตรมาส 3 ของปีงบประมาณ 2560 (เม.ย.-มิ.ย.) กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งรัดการจัดกิจกรรมเพื่อเพิ่มมูลค่าการส่งออกสินค้าของไทย ไม่น้อยกว่า 25 กิจกรรม โดยแยกเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในต่างประเทศ 23 กิจกรรม โดยเกือบครึ่งหนึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดขึ้นในอาเซียน อาทิ มาเลเซีย เมียนมา สิงคโปร์ และกัมพูชา เป็นต้น ส่วนที่เหลือจะกระจายไปยังภูมิภาคต่างๆ ของโลก อาทิ สหภาพยุโรป และตะวันออกกลาง เป็นต้น สำหรับกิจกรรมใหญ่ที่จะจัดขึ้นในประเทศ เพื่อดึงดูดผู้ประกอบการให้เข้ามาจับจ่ายซื้อสินค้าไทยกันเพิ่มมากขึ้น ตลอดจนยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับผู้ประกอบการจากทั่วโลกได้เห็นถึงศักยภาพของสินค้าไทยมีจำนวน 2 งาน
ได้แก่ งาน Thaifex World of Food ที่จะจัดในช่วงระหว่างวันที่ 31 พฤษภาคม – 4 มิถุนายน 2560 ควบคู่ไปกับงาน Thailand Rice Convention ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงระหว่างวันที่ 28 – 30 พฤษภาคม 2560 โดยในปีนี้กระทรวงพาณิชย์คาดว่าภายในงานจะมีผู้ซื้อสินค้าอาหาร รวมทั้งสินค้าเกษตร เช่น ข้าวและผลิตภัณฑ์ มันสำปะหลังและผลิตภัณฑ์ มาร่วมเจรจาการค้า ตลอดจนเข้าเยี่ยมชมงานเป็นจำนวนกว่า 1.5 แสนคน และกระทรวงพาณิชย์ยังจะได้จับมือกับ 2 บริษัทยักษ์ใหญ่เชิญผู้นำเข้าสินค้าจากประเทศจีนเดินทางมาเจรจาซื้อขายสินค้ากับผู้ประกอบการไทยในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้อีกด้วย” นางอภิรดีกล่าว
นอกจากการจัดกิจกรรมเพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าไทยแล้ว ในช่วงต้นปี 2560 ที่ผ่านมา กระทรวงพาณิชย์ก็ได้มีโอกาสร่วมคณะกับรองนายกรัฐมนตรี (นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์) พร้อมด้วยผู้แทนระดับสูงจากภาคเอกชนกว่า 22 ราย ในหลายสาขาธุรกิจ เดินทางไปขยายความร่วมมือการค้าและการลงทุนยังประเทศเมียนมา ตามนโยบายการสร้างหุ้นส่วนยุทธศาสตร์เศรษฐกิจ (Strategic Partnership)ของนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ที่มุ่งหวังให้ทั้งไทยและเมียนมาได้มีการแสวงหาโอกาสการค้าการลงทุนร่วมกันโดยอยู่บนผลประโยชน์ของทั้งสองประเทศ ซึ่งการเดินทางไปเยือนประเทศเมียนมานี้ ถือได้ว่าเป็นโอกาสอันดีของทั้งภาครัฐและภาคเอกชนไทยในการที่ได้มีโอกาสแลกเปลี่ยนความร่วมมือกัน ทั้งในด้านการค้าและการลงทุน ตลอดจนยังจะเป็นการส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาคเอกชนของทั้งสองประเทศ ให้แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะเป็นประโยชน์ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับทั้งสองประเทศต่อไปในอนาคต
สำหรับสถานการณ์ในต่างประเทศขณะนี้ กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ปรับเพิ่มคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ขึ้นอีก 0.1% สู่ระดับ 3.5% จากการขยายตัว 3.1% ในปีที่แล้ว เนื่องจากการฟื้นตัวในภาคการผลิต และการค้า เศรษฐกิจกลุ่มประเทศพัฒนาแล้วฟื้นตัวต่อเนื่อง เช่น สหรัฐฯ ตลาดแรงงานเริ่มฟื้นตัวมีสัญญาณการลงทุนเพิ่ม เศรษฐกิจกลุ่มยูโรประเทศหลักๆมีแนวโน้มการบริโภคดีขึ้น เศรษฐกิจญี่ปุ่นขยายตัวได้เพียงเล็กน้อย จากการที่รัฐบาลญี่ปุ่นประกาศมาตรการกระตุ้นทางการคลังขนาดใหญ่ แต่ยังมีความเสี่ยงเรื่องค่าเงินเยน และ การบริโภคการลงทุนภาคเอกชนที่ยังไม่ฟื้นตัวดี
ขณะที่เศรษฐกิจเอเชียมีแนวโน้มฟื้นตัวจากการส่งออกโดยเฉพาะสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ และสินค้าที่เกี่ยวกับ IT อย่างไรก็ตามก็ยังมีความไม่แน่นอนจากแนวโน้มการใช้นโยบายกีดกันทางการค้ามากขึ้น รวมทั้งนโยบาย การมุ่งเน้นแต่เพียงเศรษฐกิจภายในประเทศโดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมือง และการสู้รบ ซึ่งถือเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ได้สั่งการให้สำนักงานทูตพาณิชย์ในต่างประเทศรวม 65 แห่ง ติดตาม ความเคลื่อนไหว อย่างใกล้ชิด
ข่าวเด่น