ยังคงแข่งขันกันอย่างดุเดือดต่อเนื่องสำหรับธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น ส่งผลให้ภาพรวมตลาดร้านอาหารญี่ปุ่นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ยังคงมีอัตราการเติบโตปีละไม่ต่ำกว่า 10% แม้ว่าจะมีหลายคนออกมาคาดการณ์ว่าธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นอาจอยู่ในภาวะโอเวอร์ซัพพลาย เนื่องจากในแต่ละปีจะมีร้านอาหารญี่ปุ่นเกิดใหม่เป็นจำนวนมาก ขณะที่ผู้ประกอบการรายเก่าเองก็เดินหน้าขยายสาขาใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ครอบคลุมกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย
แต่เนื่องจากคนไทยมีความชื่นชอบในอาหารญี่ปุ่น เพราะรับประทานง่าย จึงทำให้การคาดการณ์ดังกล่าวยังไม่เป็นจริง แม้ว่าในแต่ละปีจะมีผู้ประกอบการหายไปจากตลาดบ้าง แต่หากทำการตลาดตรงกับความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการเปิดตัวเมนูใหม่ หรือการทำกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น ลดราคา และทำกิจกรรมลุ้นโชค ก็สามารถทำให้ธุรกิจประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก
จากความสำเร็จของกิจกรรมการตลาดในรูปแบบดังกล่าว ส่งผลให้ปัจจุบันจะเห็นผู้ประกอบการทั้งแบรนด์ใหญ่แบรนด์เล็กออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ กันอย่างคึกคัก ล่าสุด "ร้านยาโออิ" ที่ออกมาประกาศจัดแคมเปญภาคต่อ “ลุ้นฟิน กินฟรี ปี 2” หลังจากประสบความสำเร็จเป็นอย่างดีกับการจัดแคมเปญในปีแรก โดยในส่วนของปีนี้จะมีกิจกรรมไฮท์ไลท์ที่ชื่อว่า “ฟรีทั้งร้าน ฟินสะท้านเมือง” เพียงทานอาหารร้านยาโยอิครบ 500 บาทต่อ 1 ใบเสร็จ ก็มีสิทธิ์รรับคูปองร่วมลุ้นโชคทันที
นายสมชาย หาญจิตต์เกษม ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ (พัฒนา,การตลาด และธุรกิจอาหารญี่ปุ่น) บริษัท เอ็มเค เรสโตรองต์ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แคมเปญลุ้นฟรี กินฟรี ปี 2 เป็นเหมือนสัญลักษณ์จของร้านยาโยอิไปแล้ว เพราะลูกค้าส่วนใหญ่จะจำแคมเปญนี้ได้ ซึ่งในส่วนของปีนี้บริษัทได้เพิ่มความพิเศษไปอยู่ที่การเพิ่มของรางวัลจากปี 2559 ที่มีเพียงให้กินฟรีทั้งปีเพียงอย่างเดียว
ปัจจัยที่ทำให้ร้านยาโยอิ หันมาเพิ่มความเข้มข้นของแคมเปญ ด้วยการให้ของรางวัลที่เพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งเกิดจากการเข้าไปทำการสำรวจความต้องการของลูกค้า จนทำให้พบว่า ลูกค้ามีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป คือ มีการใช้งานอินเตอร์เน็ตมากขึ้น และมีความชื่นชอบในการชมภาพยนตร์ รวมถึงการท่องเที่ยว ดังนั้น ร้านยาโยอิ จึงต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้ากลุ่มดังกล่าว ด้วยการใส่ของรางวัลเพิ่มเข้าไป ซึ่งในปีนี้ร้านยาโยอิคาดว่า หลังจากจบแคมเปญดังกล่าวในวันที่ 30 มิ.ย. นี้น่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายให้ได้ถึง 3,500 บ้านบาท หรือเติบโต 15-18% จากปีที่ผ่านมา
นอกจากนี้ ร้านยาโยอิ ยังมีแผนที่จะขยายสาขาใหม่เพิ่มในปีนี้อีกประมาณ 20-25 สาขา จากปัจจุบันมีอยู่ 160 สาขา เพื่อให้ภายใน 5 ปีนับจากนี้ มีจำนวนสาขาเปิดให้บริการครบ 300 สาขา ซึ่งแต่ละสาขาคาดว่าจะใช้งบลงทุนไม่ต่ำกว่า 7-8 ล้านบาท แบ่งเป็นการขยายสาขาในกรุงเทพฯ 60% และต่างจังหวัด 40% โดยหลังจากเดินหน้าขยายร้านใหม่ควบคู่ไปกับการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง คาดว่าสิ้นปี 2560 นี้ จะมียอดขายเติบโตไม่ต่ำกว่า 15-18%
นายสมชาย กล่าวว่า สูตรความสำเร็จของร้านยาโยอิ มี 3 อย่าง คือ คุณภาพอาหาร การจัดโปรโมชั่นที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ลูกค้า และจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ยังไม่ฟื้นตัวในทิศทางที่ดีมากนัก 3 สิ่งนี้จึงมีความสำคัญอย่างมากในการบริหารงานที่ต้องทำให้สอดคล้องกันไปตามบริบทของสังคมที่เปลี่ยนแปลงไป แต่ก็เน้นย้ำว่าจุดเด่นของยาโยอิ คือ โปรโมชั่นที่เคลื่อนไหวอยู่ตลอดเวลา
ทางฝั่ง "ร้านอาหารเซน" แม้ช่วงนี้จะไม่มีโปรโมชั่นแรงๆ มาต่อสู้กับคู่แข่งในตลาด แต่ก็มีการเปิดตัวอาหารเมนูใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการ และล่าสุดก็ได้มีการเปิดตัว 3 เมนูใหม่ คือ ชุดแซลมอนและปลาไหล เทริยากิ จับคู่ปลาแซลมอนย่างไฟหอมกรุ่น กับปลาไหลญี่ปุ่นเนื้อแน่นชิ้นโตราดด้วยซอสอูนางิหอมหวาน เพิ่มรสชาติด้วยซอสเทริยากิสูตรต้นตำรับของเซ็น โดยเฉพาะ ทานคู่ไข่หวานญี่ปุ่นเนื้อนุ่มสูตรเฉพาะของทางร้าน
เมนูที่ 2 คือ ข้าวผัดมันปูซูไว และไข่ตุ๋นเนื้อปู สุดยอดเมนูที่เชฟของเซนคิดค้นขึ้น เพื่อคออาหารญี่ปุ่นตัวจริง แต่ยังคงรสชาติให้ถูกปากคนไทย ส่งตรงปูซูไวจากประเทศญี่ปุ่น นำเสนอเป็นข้าวผัดมันปูซูไวที่หอมกรุ่น ในรสชาติเข้มข้นกลมกล่อม โรยหน้าด้วยไข่กุ้ง ไข่แซลมอน มันปู เนื้อปูซูไว และตบท้ายด้วยไข่ตุ๋นเนื้อปูนุ่มละมุนลิ้น และเมนูที่ 3 คือ ท้องปลาแซลมอนทอด ความพิเศษของเมนูนี้ คือ การคัดสรรเฉพาะส่วนท้องปลาแซลมอนที่หอมมัน หมักกับน้ำปลาแท้ จนกลิ่นหอมเข้าเนื้อปลา นำไปทอดจนเหลืองกรอบ ให้สัมผัสกรอบนอกนุ่มใน เสิร์ฟพร้อมซอสมายองเนสและน้ำจิ้มซีฟู้ดที่สามารถเลือกจิ้มเพื่อเพิ่มรสชาติได้ตามใจชอบ
นอกจากนี้ ยังมีเมนูเด็ดๆ ให้เลือกฟินกันอย่างจุใจ ไม่ว่าจะเป็นซาชิมิรวมพรีเมี่ยม 7 ชนิด โทคุเบ็ทสึ จานใหญ่สุดอลังการ, ซาชิมิรวมพรีเมียม 5 ชนิด ตอบโจทย์ทั้งคุณภาพและราคา, ข้าวด้งซูชิหน้ารวมพิเศษ, และยำไทยทูน่าแซลมอน ให้ลูกค้าได้เลือกจัดจ้านแบบหลากหลาย
ด้าน "ร้านอาหารนิกุยะ" ก็ได้มีการปรับคอนเซ็ปต์ในการดำเนินธุรกิจใหม่เป็น “นิกุยะ” (NIKUYA By OISHI) ยากินิกุตำรับโอซาก้าแท้ ที่ชูจุดเด่นในด้านของการใช้วัตถุดิบที่ดีมีคุณภาพจากนานาประเทศ เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกอร่อยอย่างจุใจ ทั้งแบบ “บุฟเฟต์” และ “อา ลา คาร์ท”
นายไพศาล อ่าวสถาพร รองกรรมการผู้จัดการ สายงานธุรกิจอาหาร บริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า เพื่อรองรับการแข่งขันของธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นที่มีความรุนแรงมากขึ้น และเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่หลากหลาย บริษัทจึงได้มีการปรับยุทธศาสตร์ในการดำเนินธุรกิจใหม่ ด้วยการหันมาเน้นทำการตลาดเชิงรุกมากขึ้น
ขณะเดียวกันก็ทำการปรับภาพลักษณ์ให้กับร้านอาหารญี่ปุ่นในเครือโออิชิ ให้ดูมีความทันสมัยมากยิ่งขึ้น เพื่อให้มีความก้าวล้ำนำเทรนด์ พร้อมพัฒนา สร้างสรรค์สินค้าและบริการ รวมไปถึงการหาโลเคชั่นใหม่ ๆ ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคเป้าหมายได้ตรงจุดมากขึ้น โดยเริ่มจากการปรับภาพลักษณ์แบรนด์เรือธง อย่าง “ชาบูชิ” กับภาพลักษณ์ใหม่ “Shabushi and So Much More” ภายใต้แนวคิดที่ว่า ชาบู ซูชิ และอีกมากมาย...ล้นสายพาน!
หลังจากนั้นก็มีการเปิดตัวร้านอาหารแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “โออิชิ อีทเทอเรียม” ที่ชูจุดเด่นในด้านของการพาลูกค้าไปสัมผัสรสชาติอาหารอย่างญี่ปุ่น และล่าสุดกับ “นิกุยะ” ยากินิกุตำรับโอซาก้าแท้ ที่พร้อมส่งมอบประสบการณ์ที่น่าประทับใจผ่านความอร่อยยอดเยี่ยมของกิจกรรมการรับประทานอาหารปิ้งย่างแบบฉบับโอซาก้าอย่างแท้จริง โดยตระเตรียมวัตถุดิบคุณภาพสูงที่คัดสรรมาเป็นอย่างดีจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น เนื้อวากิว (ส่วนสันคอ) นำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น เนื้อโจ-คารูบิ จากออสเตรเลีย และเนื้อฮารามิ จากสหรัฐอเมริกา ซึ่งหลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจต่อเนื่อง โออิชิ คาดว่าสิ้นปีจะมีรายได้เติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้
สำหรับภาพรวมธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นในประเทศไทยปี 2559 ที่ผ่านมา มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 22,000-23,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2558 ประมาณ 10% ซึ่งปีดังกล่าวมีมูลค่าธุรกิจอยู่ที่ 20,000 ล้านบาท เติบโตจากปี 2557 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 18,000 ล้านบาท จากการที่ผู้ประกอบการออกมาใช้กลยุทธ์ เพื่อชิงลูกค้ากันอย่างคึกคัก คาดว่าสิ้นปีนี้ภาพรวมธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่นน่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% อย่างแน่นอน
ข่าวเด่น