จากแนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่เริ่มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เช่นเดียวกับกำลังซื้อของผู้บริโภคภายในประเทศไทยที่เริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี.ผู้ดำเนินธุรกิจอาหารทะเลแปรรูปเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจ ด้วยการเตรียมวางแผนการตลาด เพื่อขยายฐานลูกค้าให้เพิ่มขึ้น ซึ่งกลุ่มลูกค้าที่กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี.ให้ความสนใจจะเข้าไปขยายฐานลูกค้ามากขึ้น คือ กลุ่มประชากรมุสลิม ด้วยการส่งกลุ่มอาหารฮาลาลเข้าไปทำตลาด
สำหรับกลุ่มประเทศที่กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี.ให้ความสนใจจะเข้าไปทำตลาดอาหารฮาลาล คือ จีน และตะวันออกกลาง หลังจากก่อนหน้านี้ประสบความสำเร็จกับการส่งออกสินค้าฮาลาลเข้าไปทำตลาดในประเทศมาเลเซีย อินโดนีเซีย และสิงคโปร์มาแล้ว
นายทวี ปิยะพัฒนา ประธานกรรมการบริหารกลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี. กล่าวว่า การเข้าไปขยายธุรกิจในประเทศจีน บริษัท ได้ทำตลาดมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งหลังจากได้เข้าไปขยายธุรกิจก็ทำให้พบว่ายังมีโอกาสขยายธุรกิจไปได้เรื่อยๆ โดยพื้นที่หลัก ๆ ที่ผ่านมาจะอยู่ทางตอนใต้ในมณฑลกวางโจว เช่น เซี๊ยะเหมิน ซัวเถา รวมไปถึงตลาดฮ่องกง ซึ่งมีแนวโน้มน่าจะเติบโตขึ้น โดยเมืองที่บริษัทมีความสนใจจะเข้าไปขยายธุรกิจมากที่สุด ด้วยการนำอาหารฮาลาลเข้าไปทำตลาด คือ เมืองซินเจียง หนิงเซียะ และซีอัน เนื่องจากเมืองดังกล่าวมีประชากรมุสลิมอาศัยอยู่มากกว่า 40 ล้านคน บริษัทจึงเล็งเห็นโอกาสทางธุรกิจในเมืองดังกล่าว
นอกจากจะให้ความสนใจประเทศจีนแล้ว กลุ่มประเทศตะวันออกกลาง กลุ่มบริษัทพีเอฟพีก็มีความสนใจจะเข้าไปขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน ด้วยการส่งออกอาหารฮาลาลเข้าไปทำตลาดมากขึ้น ขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะนำสินค้าเมนูใหม่ๆ เข้าไปทำตลาด เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้า
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้กลุ่มบริษัทพี.เอฟ.พี.ให้ความสนใจกลุ่มเป้าหมายฮาลาล คือ เป็นตลาดที่ใหญ่ เนื่องจากทั่วโลกมีประชากรมุสลิมรวมกันกว่า 1,600ล้านคน โดยเฉพาะในอาเซียนมีถึง 300 ล้านคน โดยอินโดนีเซียเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด และจากการที่กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี.เข้าเริ่มเข้าไปทำตลาดมาบ้างแล้ว จึงทำให้ ได้เปรียบจากคู่แข่ง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าฮาลาล เนื่องจากได้รับเครื่องหมายฮาลาลมาตั้งแต่ปี 1998 จึงทำให้สามารถทำตลาดกับกลุ่มบริโภคกลุ่มนี้ได้ง่าย ซึ่งตลาดหลักสินค้าฮาลาลของกลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี.ในอาเซียน คือ มาเลเซีย บรูไน และ อินโดนีเซียนายทวี กล่าวต่อว่า
นอกจากจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดสินค้าฮาลาลแล้ว ในด้านของช่องทางการทำตลาดก็ให้ความสำคัญเช่นกัน โดยนับจากนี้ไปจะให้ความสำคัญกับการทำตลาดเจาะกลุ่มลูกค้าฟู้ดเซอร์วิสอย่างโรงแรม และร้านอาหาร เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตามการขยายตัวของธุรกิจท่องเที่ยว ซึ่งปีนี้มีการคาดการณ์ว่าประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 34 ล้านคน
จากจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นดังกล่าว ส่งผลให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องอย่างร้านอาหารมีการขยายตัวในทิศทางที่ดีขึ้นตามไปด้วย และจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวจึงทำให้กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี.มุ่งเน้นทำการตลาดกลุ่มลูกค้าดังกล่าวเป็นหลัก โดยมีช่องทางตลาดสดและห้างค้าส่งเป็นช่องทางหลักในการทำตลาด ซึ่งรูปแบบของการทำตลาดก็จะเน้นการขายผ่านตัวแทนจำหน่าย และจากผลการตอบรับที่ดีดังกล่าวส่งผลให้ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ประมาณ 85% มาจากตลาดสด
เมื่อประสบความสำเร็จกับการเจาะกลุ่มลูกค้าฟู้ดเซอร์วิสภายในประเทศ กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี.ก็มีแผนที่จะต่อยอดความสำเร็จดังกล่าว ด้วยการหันไปขยายฐานลูกค้าฟู้ดเซอร์วิสในตลาดต่างประเทศ เนื่องจากปัจจุบันสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศที่มาจากกลุ่มลูกค้าดังกล่าวยังน้อยมาก
ขณะเดียวกัน กลุ่มพี.เอฟ.พี.ก็มีแผนที่จะพัฒนาสินค้านวัตกรรมใหม่ๆเข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า และเพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต กลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี. จึงต้องมีการเตรียมความพร้อมในด้านของสายการผลิต เพื่อให้สินค้าที่จะผลิตออกมาทำตลาดมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น
นายทวี กล่าวอีกว่า เพื่อตอกย้ำการเป็นผู้นำด้านอุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูปแช่แข็ง และมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ล่าสุดบริษัทได้มีการนำเครื่องจักรที่ทันสมัยเข้ามาช่วยในการผลิตทั้งในส่วนของแบรนด์ที่รับจ้างผลิตและแบรนด์สินค้าของ พี.เอฟ.พี. เพื่อให้ลูกค้ามีความเชื่อมั่น และไว้วางใจในแบรนด์สินค้า ซึ่งใน 2-3 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมต่าง ๆ โดนผลกระทบจากการเติบโตของอีคอมเมิร์ส และการบริโภคที่เปลี่ยนไปโดยมุ่งสู่ธุรกิจดิจิตอลมากขึ้น ทำให้หลายอุตสาหกรรมถึงกับต้องปิดตัวไป ดังนั้น บริษัทจึงต้องหันมาให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าว ด้วยการพัฒนารูปแบบการดำเนินธุรกิจและสื่อสารให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภค
หลังจากเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องกลุ่มบริษัท พี.เอฟ.พี.มั่นใจว่า ภาพรวมผลประกอบการในสิ้นปี 2560 นี้น่าจะมีอัตราการเติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้ 10-15% จากปี 2559 ที่มีรายได้อยู่ที่ประมาณ 5,000 ล้านบาท ในมูลค่าดังกล่างแบ่งเป็นรายได้ที่มาจากการทำตลาดในประเทศ 60% และส่งออก 40%
ส่วนภาพรวมตลาดอุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูปในปี 2560 นี้ กลุ่มบริษัทพี.เอฟ.พี คาดการณ์ว่า สถานการณ์การส่งออกโดยรวมของไทยเรามีแนวโน้มขยายตัวเป็นบวกเมื่อเทียบกับปี 2559 เนื่องด้วยค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มอ่อนค่าลง รวมถึงผลผลิตทางการเกษตรมีแนวโน้มเติบโตขึ้น ซึ่งจากแนวโน้มที่ดีดังกล่าวคาดการณ์ว่าจะส่งผลให้อุตสาหกรรมการส่งออกอาหารโดยรวมของประเทศไทยน่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 27,400 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือคิดเป็นมูลค่าการขยายตัวจากปี 2559 ที่ประมาณ 4%
ข่าวเด่น