นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 พฤษภาคม 2560 คณะรัฐมนตรีได้เห็นชอบการระดมทุนผ่านกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานเพื่ออนาคตประเทศไทย (Thailand Future Fund) (TFF) โดยนำร่องให้การทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) นำรายได้ค่าผ่านทางของโครงการทางพิเศษฉลองรัช (รามอินทรา – อาจณรงค์) และโครงการทางพิเศษบูรพาวิถี (บางนา – ชลบุรี) ของ กทพ. เพื่อไปลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของ กทพ. ในโครงการทางพิเศษพระราม 3 - ดาวคะนอง – วงแหวนรอบนอกกรุงเทพมหานครด้านตะวันตก และโครงการทางด่วนขั้นที่ 3 สายเหนือตอน N2 และ E – W Corridor ด้านตะวันออก
ทั้งนี้ โครงสร้างและรูปแบบ TFF จัดตั้งภายใต้ประกาศคณะกรรมการกำกับตลาดทุนที่ ทน. 8/2559 เรื่อง หลักเกณฑ์ เงื่อนไข และวิธีการจัดตั้งและจัดการ TFF และเป็นกองทุนปิดที่ไม่จำกัดอายุของกองทุน รวมทั้งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดย TFF จะเสนอขายหน่วยลงทุนแก่นักลงทุนทั่วไป ซึ่งจะได้รับผลตอบแทนตามผลการดำเนินการของโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่กองทุนรวมฯ ลงทุน โดยไม่มีกลไกการรับประกันผลตอบแทน
นายเอกนิติ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกระทรวงการคลังถือหน่วยลงทุน TFF วงเงิน 1,000 ล้านบาท และเพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุน กระทรวงการคลังจะลงทุนในหน่วยลงทุนของ TFF เพิ่มเติมในวงเงินไม่เกิน 9,000 ล้านบาท นอกจากนี้ เพื่อจูงใจให้หน่วยงานภาครัฐ นำโครงการโครงสร้างพื้นฐานมาระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ คณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบมาตรการในการสร้างแรงจูงใจในการนำโครงการโครงสร้างพื้นฐานของ กทพ. มาระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ เช่น (1) การเห็นสมควรให้ปรับปรุงหลักเกณฑ์ในการคำนวณกำไรเพื่อการจัดสรรโบนัส เพื่อชดเชยในกรณีที่ต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นจากการระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ โดยการนำรายการผลกระทบทางบัญชีที่เกิดจากการนำโครงการเข้าระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ มาบวกกลับในการคำนวณกำไรสุทธิเพื่อการจัดสรรโบนัส และ (2) ให้ กทพ. สามารถนำเงินสภาพคล่องส่วนเกินดังกล่าวซื้อหน่วยลงทุน A ของกองทุนรวมฯ และ/หรือสามารถบริหารสภาพคล่องได้ตามขอบเขตที่กำหนดไว้ในกฎหมายจัดตั้งของ กทพ. และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องได้
"การระดมทุนผ่านกองทุนรวมฯ เป็นแหล่งเงินทุนใหม่ที่ กทพ. สามารถลงทุนได้ทันทีโดยไม่ต้องรอสะสมรายได้หรือรอการจัดสรรเงินกู้ในการลงทุนในโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่มีความพร้อม และไม่เป็นหนี้สาธารณะของประเทศ นอกจากนี้ สามารถนำเงินทุนของภาครัฐทั้งเงินกู้และงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัดไปใช้ในการลงทุนโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศได้มากขึ้น เช่น ด้านสาธารณสุข และด้านการศึกษา เป็นต้น ซึ่งจะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศต่อไปในอนาคต"นายเอกนิติกล่าว
ข่าวเด่น