นายบุญชัย เกียรติธนาวิทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ธนชาต จำกัด เปิดเผยว่า ผลตอบแทนหุ้นไทยทั้งตลาดยังไม่ค่อยน่าสนใจเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ปัจจุบันจะค่อนข้างเห็นว่าดัชนีหุ้นไทยไม่ไปไหน จากต้นปีจนถึงปัจจุบันทำผลงานได้เพียง 1.54% เมื่อเทียบกับดัชนีหุ้นเอเชียแปซิฟิคที่ทำผลงานอยู่ที่ 18.36% (16 มิ.ย. 60, bloomberg) ซึ่งปัจจัยที่เงินไหลเข้าตลาดหุ้นอื่นในเอเชียมากกว่าไทย เหตุมองว่าราคาหุ้นไทยเริ่มราคาไม่ถูกแล้ว แต่อีกส่วนสำคัญก็เป็นเพราะ อัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของไทยยังไม่ค่อยไปไหน เงินจึงไหลไปเข้าพวกตลาดที่เติบโตสูง อย่างพวกอินเดียมากกว่า
สำหรับมุมมองของ บลจ.ธนชาต ต่อหุ้นไทย เรายังมองเป็นบวก เพียงแต่ช่วงนี้อาจดูอึดอัดไปบ้าง มีข้อน่าสนใจว่าในระยะนี้ราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นราคาข้าวที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 20% จากต้นปี หรือแม้แต่ราคาข้าวโพดก็ปรับตัวขึ้นเช่นกัน มีเพียงยางพาราที่ช่วงนี้ราคาปรับลดลงประมาณ 10% (ณ พ.ค. 60) แต่หากเทียบกับปีที่ผ่านมาก็ยังราคาสูงกว่า ทำให้พบว่ารายได้เกษตร (Farm Income) ในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้ กำลังเปลี่ยนทิศทางเป็นขาขึ้น แม้จะปรับตัวลดลงบ้าง แต่หากเทียบการเติบโตไตรมาสแรกของปีนี้เทียบกับปีที่ผ่านมาก็เติบโตเกือบ 20% จากปัจจัยหลักๆ คือ ราคาข้าวเปลือกและราคายางพาราที่ปรับตัวสูงขึ้นจากที่เคยตกต่ำมา 2 ปี และแม้ว่ารายได้ของเกษตรจะปรับตัวขึ้น แต่การบริโภคภาคเอกชน (Private consumption) ยังไม่ค่อยเห็นภาพชัดนัก ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลว่า เกษตรนำรายได้บางส่วนไปชำระหนี้ก่อน ซึ่งคาดว่าจะปรับตัวได้ในระยะถัดไปหลังจากภาคเกษตรทยอยใช้หนี้ที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ดังนั้น การลงทุนหุ้นไทยในระยะต่อไป น่าจะเห็นภาพเป็นบวกได้ จากปัจจัยราคาสินค้าเกษตรที่เกิดขึ้นข้างต้น และหากคาดหวังผลตอบแทนที่สูงขึ้น ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเลือกหุ้นเป็นรายตัว หรือให้น้ำหนักในกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้ประโยชน์อย่าง กลุ่มธนาคาร กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นต้น
ทั้งนี้ ปัจจุบัน บลจ.ธนชาต ก็ให้น้ำหนักในกลุ่มอุตสาหกรรมข้างต้นเช่นกัน และสำหรับกองทุนธนชาต หุ้นปันผล (T-DIV) ซึ่งเน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายปันผลสม่ำเสมอช่วงที่ผ่านมาก็ทำผลงานได้ดี ตั้งแต่จัดตั้งกองทุนมาประมาณ 3 เดือน ทำผลตอบแทนได้ 2.27% เทียบกับ SET Index ที่ทำผลงานได้เพียง 1.62% เท่านั้น ซึ่งคาดว่ากองทุนนี้จะปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหน่วยลงทุนในวันที่ 22 มิถุนายน 60 และจะจ่ายเงินปันผลในวันที่ 4 กรกฎาคม ในอัตรา 0.20 บาทต่อหน่วย ซึ่งเป็นการจ่ายครั้งแรกในรอบระยะบัญชีตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคม 60 ถึงวันที่ 9 มิถุนายน 60
นอกจากนั้น สำหรับกองทุนหุ้นไทย T-Challenge21 และ T-Challenge22 ก็สามารถทำผลงานได้ตามเป้า โดยกองทุน T-Challenge22 ได้แจ้งปิดกองทุนไปแล้วเมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 60 เนื่องจากกองทุนมีมูลค่า 10.7810 บาทต่อหน่วย ณ วันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งเป็นไปตามเงื่อนไขการเลิกกองทุน
ปัจจุบัน บลจ.ธนชาต มีกองทุนทริกเกอร์หุ้นไทยจำนวน 24 กองทุน ถึงเป้าหมายแล้ว 13 กองทุน มีกองทุนที่ถึงเป้าหมายนอกเวลาจำนวน 6 กองทุน มีกองทุนที่เปลี่ยนเป็นกองทุนเปิดแล้ว 9 กองทุน และอีก 2 กองทุนยังอยู่ในกำหนดเวลา
ข่าวเด่น