การลงทุนในโครงการต่างๆของรัฐบาล แม้จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจไทยในระยะยาวแต่ความต่อเนื่องในการลงทุนโครงการต่างๆ ก็เป็นสิ่งสำคัญที่นักลงทุนต่างชาติให้ความสนใจอย่างมาก
โดย ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี ยอมรับว่า ผู้จัดการกองทุนต่างชาติส่วนใหญ่พอใจกับนโยบายเศรษฐกิจของไทย แต่ก็มีความกังวลเรื่องความต่อเนื่องว่า หลังเลือกตั้งรัฐบาลใหม่จะมีการสานต่อหรือไม่ ซึ่งรัฐบาลได้ให้ความมั่นใจไปว่า โครงการลงทุนขนาดใหญ่ต่างๆ จะเดินหน้าตามแผนที่วางไว้ และจะมีการลงทุนจริงก่อนการเลือกตั้ง เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนว่าในอนาคตโครงการต่างๆ ยังคงเดินหน้าต่อไปได้
โดยในรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันก็ระบุชัดเจนให้ทุกรัฐบาลจะต้องสานต่อนโยบายระยะยาว โดยจะมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 2 ชุด คือ คณะกรรมการยุทธศาสตร์แห่งชาติ และคณะกรรมการปฏิรูปประเทศ เพื่อดูแลนโยบายเหล่านี้ให้เกิดความต่อเนื่อง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดตั้งคณะกรรมการทั้ง 2 ชุด
นอกจากนี้ กระทรวงการคลังกำลังพยายามยกระดับการพัฒนาการบริหารจัดการรัฐวิสาหกิจ ซึ่งจะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญของภาครัฐให้มีพลังยิ่งขึ้นไปอีกในอนาคต
สอดคล้องกับ นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ ซีแอลเอสเอ (ประเทศไทย) เปิดเผยว่า นักลงทุนต่างชาติพอใจการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน แต่สิ่งที่ต้องติดตาม คือ ความต่อเนื่องของการลงทุนในอนาคตจะมีมากน้อยเพียงใด
ทั้งนี้ นักลงทุนต่างชาติให้ความสำคัญใน 4 ปัจจัยหลักคือ 1.คุณภาพการของการศึกษาไทย ดีพอที่จะรองรับการลงทุนในอนาคตในด้านนวัตกรรมหรือการเกิดของอีอีซีหรือไม่ 2.โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน รัฐบาลสามารถเร่งลงทุนได้มากน้อยเพียงใด 3.การขออนุญาตทำผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมที่ใช้เวลานาน จะปรับปรุงได้หรือไม่ และ 4.การปราบปรามคอร์รัปชัน
ส่วนการใช้มาตรา 44 เพื่ออำนวยความสะดวกการลงทุนของต่างชาติ ทั้งการลงทุนจากจีนหรือญี่ปุ่นไม่ใช่ปัญหา ตราบใดที่การเข้ามาของต่างชาติช่วยสร้างองค์ความรู้และนำเทคโนโลยีที่ถ่ายทอดในอนาคตน่าจะได้เห็นการลงทุนทางตรงจากจีนและญี่ปุ่นเพิ่มขึ้น
ด้าน นายไพบูลย์ นลินทรางกูร นายกสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน กล่าวว่า สิ่งที่นักลงทุนต่างชาติยังมีความกังวล คือ ความต่อเนื่องนโยบายของภาครัฐที่หลายโครงการต้องใช้เวลาในการลงทุน หากมีการเลือกตั้งในปีหน้าและมีการเปลี่ยนรัฐบาล อาจส่งผลกระทบให้โครงการอาจไม่เดินหน้าต่อไปได้
ข่าวเด่น