การตลาด
สกู๊ป : แอมเวย์เร่งปรับหลังบ้านเปิดคลังสินค้าใหม่รองรับธุรกิจโต


แม้จะมีปัจจัยลบเข้ามารุมเร้าธุรกิจขายตรงเป็นระยะๆ ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยลบด้านเศรษฐกิจ  หรือปัญหาแชร์ลูกโซ่ที่เข้ามาส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค  แต่ภาพรวมธุรกิจขายตรงตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาจนถึงขณะนี้ก็ยังสามารถขยายตัวได้ในทิศทางที่น่าพอใจ เห็นได้จากภาพรวมของธุรกิจขายตรงไทยในไตรมาสแรกที่ผ่านมา ซึ่งมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 2-3% เมื่อเทียบกับไตรมาสแรกของปี 2559

สำหรับแนวโน้มในไตรมาส 2 นี้ก็มีการคาดการณ์กันว่าน่าจะเติบโตดีขึ้น  เนื่องจากธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่มอบโอกาสให้ประชาชนทั่วไปสามารถสร้างเป็นอาชีพ  สร้างรายได้ โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่ต้องการมีธุรกิจส่วนตัว หรือต้องการหารายได้เสริมจากงานประจำ ซึ่งจากคุณสมบัติดังกล่าวของธุรกิจขายตรง  จึงทำให้ในแต่ละเดือนมีผู้สนใจทยอยเข้าสู่ธุรกิจขายตรงเพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า   30%

อย่างไรก็ดี  แม้ว่าธุรกิจขายตรงจะเป็นอาชีพที่เปิดกว้างที่ใครๆ ก็สามารถเข้ามาทำธุรกิจก็ได้  แต่เนื่องจากสังคมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมค่อนข้างมาก  ทุกคนสามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้  เพียงแค่ปลายนิ้ว  เพียงมีแรงบันดาลใจ  ความคิดสร้างสรรค์ มีสินค้าที่ต้องการจะทำตลาด และมีช่องทางโซเชียลมีเดียเป็นของตัวเองก็สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจได้แล้ว ซึ่งจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นดังกล่าว  ส่งผลให้ธุรกิจขายตรงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ต้องปรับตัวตามสถานการณ์ของโลกให้ทัน 

ปัจจุบันจะเห็นได้ว่ารูปแบบการทำการตลาดของธุรกิจขายตรงเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไป จากเดิมอาจใช้ตัวแทนเป็นตัวกลางในการจำหน่ายสินค้า แต่ปัจจุบันเริ่มมีการใช้สื่อดิจิทัลในการจำหน่ายสินค้า พูดคุยกับกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย  และเครือข่ายมากขึ้น 

นอกจากนี้  จากการที่สื่อดิจิทัลโดยเฉพาะโซเชียลมีเดียที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของผู้บริโภค  ส่งผลให้การตัดสินใจซื้อสินค้ในแต่ละชิ้น  ขึ้นอยู่กับผู้ทรงอิทธิพลจากหลายวงการ  เช่น บล็อคเกอร์  หรือเน็ตไอดอล ซึ่งหลังจากผู้ประกอบการในธุรกิจขายตรงได้เริ่มมีการปรับกลยุทธ์การทำตลาดออกมาในรูปแบบดังกล่าว  ส่งผลให้ยอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นเป็นที่น่าพอใจ  เนื่องจากปัจจุบันผู้บริโภคเริ่มหันมาให้ความสนใจซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น 

บริษัท  แอมเวย์(ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทที่หันมาให้ความสำคัญกับการทำการตลาดในส่วนของช่องทางออนไลน์ควบคู่ไปกับออฟไลน์  เนื่องจากปัจจุบันแอมเวย์มีสัดส่วนนักธุรกิจที่เป็นกลุ่มเจนวายมากถึง 30-35% จึงต้องปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาด

นอกจากจะให้ความสำคัญกับสื่อออนไลน์ในการขยายนักธุรกิจ  และขยายช่องทางขายให้เพิ่มขึ้นแล้ว เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต  บริษัท แอมเวย์ จึงได้ตัดสินใจใช้งบลงทุน  40 ล้านบาท ปรับระบบการจัดเก็บสินค้า  ด้วยการย้ายศูนย์กระจายสินค้าจากเดิมที่อยู่ในย่านศรีนครินทร์  มีพื้นที่ประมาณ 7,000 ตร.มายังศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ที่โครงการ TPARK บางพลี 1 ซึ่งพัฒนาโดยบริษัท ไทคอน โลจิสติคส์ พาร์ค จำกัด  โดยในส่วนของศูนย์กระจายสินค้าแห่งดังกล่าวจะมีขนาดพื้นที่ประมาณ  10,280 ตร..

นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า  การที่บริษัทมีการย้ายศูนย์กระจายสินค้ามาอยู่ที่โครงการ TPARK บางพลี 1 เพราะต้องการให้การจัดส่งสินค้ามีความสะดวกและรวดเร็วมากขึ้น  ซึ่งในส่วนของเทคโนโลยีที่บริษัทย์นำมาใช้ เพื่อยกระดับการจัดการสินค้ารูปแบบใหม่คือ การจัดเก็บและกระจายสินค้าให้นักธุรกิจแอมเวย์และสมาชิกเพื่อจัดส่งสินค้าถึงบ้าน (Home Delivery) ทั้งแอมเวย์ ช็อป 83 สาขาทั่วประเทศ

ในส่วนของเทคโนโลยีที่นำมาเป็นตัวช่วยในการจัดส่งสินค้า คือ  Digital Picking System หรือการจัดสินค้าที่ใช้ระบบดิจิทัลเป็นตัวกำหนดและควบคุมการทำงานมาใช้  เพื่อเพิ่มความรวดเร็วแม่นยำในการจัดสินค้าและลดต้นทุนการจัดการได้ในเวลาเดียวกัน  นอกจากนี้  ยังมีการจัดสินค้าขึ้นรถด้วย Digital Loading System ที่สามารถตรวจสอบข้อมูลผ่านระบบดิจิทัลโดยไม่ต้องใช้ข้อมูลจากรายงานบนกระดาษ ซึ่งการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีเหล่านี้เป็นสิ่งที่แอมเวย์ให้ความสำคัญและเตรียมพร้อมเพื่อรองรับแผนในอนาคต

นายกิจธวัช กล่าวว่า ความรวดเร็วถือเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์สำคัญในการจัดส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภคกว่า 1 ล้านครัวเรือนในไทย ผ่านแอมเวย์ช็อป 83 สาขาทั่วประเทศ ดังนั้นการมีศูนย์กระจายสินค้าที่มีศักยภาพจึงถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากในการดำเนินธุรกิจ  ขณะเดียวกันยังถือเป็นการสร้างมาตรฐานศูนย์กระจายสินค้าของแอมเวย์ประเทศไทยให้เทียบเท่าระดับมาตรฐานโลก  เพื่อรองรับการขายตัวของธุรกิจในอนาคต 

หลังจากเดินหน้าสร้างความแข็งแกร่งที่ยั่งยืนต่อเนื่อง  แอมเวย์ มั่นใจว่าสิ้นปี 2560 นี้  น่าจะมีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 3-5%  เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่แอมเวย์ ประเทศไทย มีรายได้อยู่ที่ประมาณ  17,500 ล้านบาท เนื่องจากช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีรายได้เติบโตสูงถึง 10%  สวนกระแสภาพรวมตลาดและเศรษฐกิจที่อยู่ในภาวะชะลอตัว ซึ่งในส่วนของรายได้ที่แอมเวย์ ประเทศไทย ได้รับในปี 2559 หากนำมาเปรียบเทียบกับช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา  ถือว่าเติบโตถึง 3 เท่าตัว เนื่องจากช่วงเวลาดังกล่าว แอมเวย์ ประเทศไทย มีรายได้อยู่แค่เพียง 5,000 ล้านบาทเท่านั้น

สำหรับกลุ่มสินค้าหลักที่สร้างรายได้ให้กับ แอมเวย์ ประเทศไทย ยังคงเป็นในส่วนของกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ เนื่องจากผู้บริโภคหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบิวตี้หรือความงาม ยังต้องทำงานหนักขึ้น  เพื่อให้มีรายได้เติบโตตรงตามเป้าหมายที่วางไว้

การออกมาเตรียมความพร้อมด้วยการหันมาปรับหลังบ้านในครั้งนี้  น่าจะทำให้แอมเวย์มีความพร้อมรองรับการแข่งขันที่เพิ่มขึ้นและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไปได้เป็นอย่างดี  โดยเฉพาะการบริการด้านการจัดส่งสินค้า เนื่องจากมีการใช้เทคโนโลยีเข้ามาช่วย  เพื่อให้การดำเนินงานมีความรวดเร็วมากขึ้น  ส่วนจะผลักดันให้ แอมเวย์ ในประเทศไทยมียอดขายเติบโตเพิ่มขึ้นเท่าไหร่นั้น  คงต้องดูสถานการณ์เศรษฐกิจและกำลังซื้อเป็นตัวประกอบด้วย


บันทึกโดย : วันที่ : 02 ก.ค. 2560 เวลา : 00:56:04
26-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 26, 2024, 3:47 pm