อลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์ส พันธมิตรเพื่อการลงทุนระดับโลก ที่มีสินทรัพย์ภายใต้การบริหารมากกว่า 501,000 ล้านยูโร มีทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุนมากกว่า 600 คน ประจำอยู่ตามสำนักงานกว่า 25 แห่งทั่วโลก เผยปัจจัยทางเศรษฐกิจสังคมที่ส่งผลต่อแนวโน้มการลงทุนในครึ่งปีหลัง 2560
นาย นีล ดเวน นักกลยุทธ์การลงทุนระดับโลก บริษัท อลิอันซ์ โกลบอล อินเวสเตอร์ส เปิดเผยระหว่างการเดินทางมาร่วมงานสัมมนาการลงทุนประจำปี 2560 ที่กรุงเทพมหานครว่า หลังจากผ่านครึ่งแรกของปี พ.ศ. 2560 มาแล้ว จึงนับเป็นเวลาที่เหมาะสำหรับการติดตามผลการดำเนินการของหุ้นในตลาดโลก ทั้งนี้ ถึงแม้ว่าอัตราเงินเฟ้อมีสัญญาณที่ดี แต่ด้วยการควบคุมหรือการกดดันทางการเงิน (financial repression) ยังคงดำเนินอยู่ และมุมมองระยะยาวจึงทำให้มองว่าการเติบโตของตลาดโลกจะยังคงซบเซาต่อไป อย่างไรก็ตามข่าวดีคือไม่มีปัจจัยบ่งชี้ถึงภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ตลาดในภูมิภาคเอเชียยังคงเคลื่อนไหวอย่างมีเสถียรภาพ โดยประเทศจีนกำลังเดินหน้าด้วยดีสู่การเป็น Asset class ในสหรัฐอเมริกา นโยบายเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ (Trumponomics) ยังไม่ได้ให้ผลประโยชน์ที่เป็นรูปธรรมนัก แม้ว่านโยบายดังกล่าวจะได้รับความคาดหวังเป็นอย่างมาก ทางด้านภูมิภาคยุโรปนั้นแม้ว่าจะมีความเสี่ยงทางการเมืองจากการเลือกตั้งครั้งใหม่ในหลายประเทศสมาชิก (election super cycle) แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นก่อให้เกิดวิกฤตการณ์การเมืองได้
ทั้งนี้ ความผันผวนจากการลงทุนนั้น คาดว่าจะยังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนต้องเตรียมพร้อม สำหรับแนวทางการรับมือเชิงรุกและรับกับความเสี่ยงบางประการที่อาจเกิดขึ้นในการแสวงหาผลตอบแทนท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่มีความผันผวน
จากมุมมองของเราเชื่อมั่นว่า ธนาคารกลางแห่งประเทศอังกฤษจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในอีก 2-3 ปีข้างหน้าหรือนานกว่านั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศลดลงและการใช้จ่ายภาคครัวเรือนชะลอตัว เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น การเลือกตั้งที่ผ่านมาตอกย้ำมุมมองของเราในเรื่องดังกล่าว และส่งผลกระทบเชิงลบกับเงินปอนด์ มีสัญญาณหลายอย่างถึงการออกจากการเป็นสมาชิกสหภาพยุโรปแบบผ่อนปรน (Soft Brexit) หรือแม้แต่การออกแบบเร่งรัด หากสหราชอาณาจักรยังเลือกที่จะอยู่ในระบบตลาดเดียวกับยุโรปดังเดิม ล้วนถือเป็นข่าวดีสำหรับค่าเงินปอนด์ทั้งสิ้น
ในสหรัฐฯ 7 แผนยกระดับเศรษฐกิจสหรัฐฯ (7-point trade plan) ของทรัมป์อาจจะเป็นอีกหนึ่งอุปสรรคสำคัญต่อการค้าโลก อันอาจจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ หากทรัมป์ตัดสินใจเริ่มดำเนินนโยบายเพื่อปกป้องการค้า ความเป็นไปได้ในการปรับการจัดเก็บภาษีพรมแดนจำแนกตามถิ่นที่มา (US border adjustment tax) อาจส่งผลกระทบต่อผลกำไรของธุรกิจต่างๆ และความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจเนื่องจากการแข็งค่าของเงินสกุลดอลลาร์สหรัฐฯ
ประเทศจีนในฐานะ asset class (กลุ่มสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องมากกว่าสินทรัพย์ชนิดอื่นๆ ) ประเทศจีนนั้นกำลังดำเนินไปบนเส้นทางที่ราบรื่นในการจะก้าวขึ้นมาเป็น asset class และคาดว่าจะมีเสถียรภาพดียิ่งขึ้นในช่วง 5 ปีนับจากนี้ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี สี จิ้น ผิง ก้าวย่างในการปฏิรูประบบสถาบันการเงินของจีนนั้นเป็นไปได้ด้วยดีอย่างเห็นได้ชัด อาทิ การเปิดตัวตลาดพันธบัตรของรัฐ (municipal bond market) การเพิ่มกำหนดวงเงินในการค้าสกุลเงิน และการที่เงินหยวนได้เข้าไปอยู่ในระบบตะกร้ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเภท “สิทธิพิเศษถอนเงิน” (special drawing rights) นอกจากนี้ ประเทศจีนยังมีประชากรรุ่นใหม่ กลุ่มมิลเลนเนียล ที่มีฐานะดีกว่ากว่ากลุ่มประชากรรุ่นเดียวกันในสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มที่จะใช้จ่ายสูง และเป็นกำลังสำคัญในการปรับสมดุลพอร์ตการลงทุนของประเทศ
แต่อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดีทรัมป์ อาจจะทำให้เกิดความปั่นป่วน ด้วยนโยบายที่อาจทำร้ายความสัมพันธ์ทางการค้า นโยบาย One Belt One Road ถือเป็นนโยบายสำคัญของประเทศจีนในการพัฒนา และเป็นความคาดหวังระยะยาวระดับภูมิภาค ซึ่งโดยภาพรวมแล้วจีนยังคงชัดเจนในการมุ่งหน้าสู่การผสานเป็นส่วนหนึ่งของตลาดการเงินโลก และค่อยๆ เปิดรับนักลงทุนจากต่างชาติอย่างช้าๆ
เรามองการลงทุนในประเทศจีน ด้วยแนวทาง bottom-up ที่เน้นการวิเคราะห์เป็นรายบริษัทเป็นหลักที่ให้ผลตอบแทนแก่นักลงทุนประเภทมุ่งหวังผล (active investor) ณ วันนี้บริษัทจีนกว่า 4,200 แห่ง ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหุ้นต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งมากกว่าในสหรัฐฯ ด้วยมูลค่า 10 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หุ้นจากประเทศจีนจึงคิดเป็นร้อยละ 18 ของมูลค่าตลาดตราสารทุนโดยรวม และนี่คือโอกาสสำหรับผู้จัดการพอร์ตที่ลงทุนเพื่อแสวงหาผลกำไร ตลาดพันธบัตรของจีนยังคงเติบโตและมีพัฒนาการอย่างรวดเร็ว ซึ่งปัจจุบันนี้เป็นตลาดพันธบัตรที่ใหญ่เป็นอันดับสามของโลก และยังเป็นผู้ออกพันธบัตรสีเขียวหรือตราสารหนี้ที่ออกโดยองค์กรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (Green bonds) ที่ใหญ่เป็นอันดับที่สาม ซึ่งคาดว่าพันธบัตรสีเขียวจะยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่องจากโครงการด้านสิ่งแวดล้อมหลายๆ โครงการของประเทศจีน
แม้จีนจะมีส่วนแบ่งในตลาดหุ้นและพันธบัตรอยู่ แต่ก็เพียงร้อยละ 18 ของขนาดมูลค่าตามราคาตลาด คิดเป็นร้อยละ 3 ของดัชนี MSCI All Country World Index (เป็นดัชนีอ้างอิงที่บริษัท Morgan Stanley Capital International หรือ MSCI จัดทำขึ้นเพื่อให้ผู้ลงทุนและสถาบันที่เข้ามาลงทุนในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก ได้นำมาใช้เป็นมาตรฐานในการวัดผลตอบแทนในการลงทุนของตนเองว่าเป็นอย่างไร) แต่เรามีความเชื่อมั่นว่าการลงทุนในจีนจะเติบโตขึ้นเนื่องด้วยต่างชาติสามารถเข้าถึงตลาดของจีนได้ จากการสนับสนุนจากรัฐบาลอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนการเติบโตที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนควรจับตาการไหลออกของเงินทุน แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงการพลาดโอกาสที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว
ข่าวเด่น