หุ้นทอง
กูรูทิสโก้ชี้ชัดถึงเวลา "ซื้อสะสม"


กูรูทิสโก้ส่งสัญญาณ “ทยอยซื้อสะสม” มองตลาดหุ้นไทยเตรียมขยับขึ้นตามหุ้นโลก ชี้ในช่วง1-2เดือนข้างหน้าดัชนีย่อตัวลง 5-8% พร้อมให้กรอบแนวรับ 1,550-1,530 จุด ก่อนจะดีดตัวขึ้นในช่วงโค้งท้ายของปี ระหว่างนั้นแม้ดัชนีทะลุเหนือ 1,600 จุด ยังต้อง “ซื้อตาม” ขณะที่หุ้นนอกให้น้ำหนัก China A Share


นายวิวัฒน์ เตชะพูลผล รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าฝ่ายวิเคราะห์ทางเทคนิค บล.ทิสโก้  กล่าวถึงภาพรวมการลงทุนในตลาดหุ้นในงานสัมมนาTISCO Monthly Guru Updatesว่า ตลาดหุ้นโลกจะปรับตัวลง5-8% ในช่วง1-2 เดือนข้างหน้า ก่อนการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในวันที่ 20ก.ย. 2560 โดยมีสาเหตุจาก 1. Valuation อยู่ในระดับที่แพงแล้ว 2.ที่ผ่านมาตลาดหุ้นอยู่ในภาวะ Overbought ต่อเนื่อง10 เดือนติดต่อกัน 3.เศรษฐกิจที่แปรผกผันกับตลาดหุ้น (Negative Divergence) จากเดิมที่มักเคลื่อนไหวในทิศทางเดียวกัน และ 4.เข้าสู่ภาวะปิดความเสี่ยง (Risk Off Mode) ของนักลงทุนจากความกังวลในเรื่องสภาพคล่องที่จะปรับลดลง และเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่า รวมถึงการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยและการปรับลดงบดุลของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)

ขณะที่ตลาดหุ้นใน China A-Shares (หุ้นที่จดทะเบียนในสองตลาดหลักของจีนคือ Shanghai และ Shenzhen ซื้อขายด้วยสกุลเงินหยวน) ถือเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจมาก จาก Valuation ที่ยังไม่แพงนัก และมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นในอนาคต หลังจากรัฐบาลปักกิ่งพยายามปรับโครงสร้างทางเศรษฐกิจหลายด้านล่าสุด MSCI ยังมีการนำหุ้นใน A-Shares เข้ามาคำนวนในดัชนี MSCI Emerging Market Index โดยจะเริ่มคำนวณครั้งแรกในปี 2561 ซึ่งจะส่งผลให้ Fund Flow ไหลเข้าหุ้นจีนมากขึ้น จึงคาดว่าหุ้นจีนจะ Outperform ได้ภายในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า

ด้านตลาดหุ้นไทย (SET Index) มีแนวโน้มปรับตัวลดลงตามทิศทางของตลาดหุ้นโลก แต่เป็นการปรับลดลงอย่างจำกัด โดยให้แนวรับอยู่ที่ 1,550-1,530 จุด จากนั้นดัชนีจะทยอยปรับตัวขึ้นในระยะเวลาอีก2เดือนข้างหน้า เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาดัชนีหุ้นไทยยังปรับตัวขึ้นน้อยกว่าตลาดโลก (Laggard) โดยในช่วงครึ่งปีแรกให้อัตราผลตอบแทนจากการลงทุนอยู่ที่ระดับเพียง2.6% เท่านั้น ถือว่าอยู่ในระดับต่ำสุดในกลุ่มTIP (Thailand, Indonesia, Philippines) & ASIAขณะที่ผลตอบแทนในตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงมาก โดยเฉพาะกองทุนที่เป็น Asia Pacific ex Japanเช่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน อินเดีย ให้อัตราผลตอบแทนสูงถึงประมาณ 14% ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ให้อัตราผลตอบแทนประมาณ 9% (ยกเว้น NASDAQ ที่ให้ผลตอบแทนประมาณ13%) ส่วนตลาดหุ้นยุโรปให้ผลตอบแทนประมาณ8-9% ดังนั้น ตลาดหุ้นไทยจึงมีโอกาสOutperformในครึ่งปีหลัง จากทิศทางเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวดีขึ้นและกระแส Fund Flow ไหลเข้า

“หุ้นไทยยัง Laggardอยู่มาก โดยในช่วง4ปีที่ผ่านมาสถานะการซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติยังเป็นการขายสุทธิ เพราะFund Flowเลือกไหลเข้าไปไต้หวัน อินเดีย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือในช่วงครึ่งหลักของปี 2560การลงทุนโครงการต่างๆ ของภาครัฐจะเดินหน้ามากขึ้น เช่น โครงการก่อสร้างรถไฟฟ้า โครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (EEC) หรือกระทั่งการเลือกตั้งที่มีความชัดเจนมากขึ้น” นายวิวัฒน์ กล่าว

ดังนั้น ในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค.2560 จึงแนะนำให้นักลงทุน “ทยอยซื้อสะสม” โดยมีแนวรับที่ 1,550และ1,530จุด และในช่วงปลายปีหากSETขึ้นทะลุเหนือ1,600จุด ยังแนะนำให้ “ซื้อตาม” และถือยาว หรือเล่นสั้นขายทำกำไรช่วงก่อนการประชุมFedในช่วงต้น ก.ย.หรือ ต้น ธ.ค. 2560โดยให้แนวต้านในระยะนี้ที่ 1,600-1,620จุด และคงเป้าหมายที่ 1,650จุด ในกลุ่มหุ้นเด่นที่อิงนโยบายการลงทุนของภาครัฐ เช่น กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง กลุ่มโลจิสติกส์ กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม รวมถึงหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาท การค้า การส่งออก และหุ้นที่อิงกับการบริโภคในประเทศ ขณะที่หุ้นต่างประเทศแนะหุ้น China A-Sharesหุ้นญี่ปุ่น และหุ้นใน S&P500

ทั้งนี้ งานสัมนนา TISCO Monthly Guru Updates จัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือนเพื่อเผยแพร่บทวิเคราะห์ และทิศทางการลงทุนเพื่อช่วยให้ลูกค้าคนสำคัญบรรลุเป้าหมายทางการเงิน นับเป็นอีกหนึ่งความมุ่งมั่นในการเป็น Top Advisory House ของทิสโก้

บันทึกโดย : Adminวันที่ : 06 ก.ค. 2560 เวลา : 21:01:04
25-11-2024
Feed Facebook Twitter More...

อัพเดทล่าสุดเมื่อ November 25, 2024, 7:47 am