หลังจากสะสมประสบการณ์การทำตลาดในประเทศไทยมานานกว่า 20 ปีนับตั้งแต่ปี 2528 ด้วยการนำผลิตภัณฑ์ดูแลแผลเข้ามาทำตลาดผ่านโรงพยาบาลและร้านขายยาต่างๆจนเป็นที่รู้จักมาวันนี้ บริษัท มุนดิฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมแล้วที่จะแตกไลน์สินค้าสู่กลุ่มเพอร์โซนอลแคร์ หรือผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล เพื่อให้สอดคล้องกับการทำธุรกิจทั่วโลก ซึ่งบริษัทแม่ของ มุนดิฟาร์มา ไม่ได้มีแค่ผลิตภัณฑ์ดูแลเพียงในตลาดเพียงอย่างเดียว
ปัจจุบัน บริษัท มุดิฟาร์มา มีธุรกิจที่ดำเนินการอยู่ในขณะนี้ 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลแผล กลุ่มผลิตภัณฑ์แก้ไอ เจ็บคอ และกลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิง ซึ่งในส่วนของประเทศไทยปัจจุบันมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ทำตลาดด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลแผล และกลุ่มผลิตภัณฑ์เพอร์โซนอลแคร์ โดยทั้ง 2 กลุ่มใช้แบรนด์เบตาดีนเป็นตัวทำตลาด เนื่องจากแบรนด์มีความแข็งแกร่งและเป็นที่รู้จัก
สำหรับกลุ่มสินค้าเพอร์โซนัลแคร์ตัวแรกที่บริษัท มุดิฟาร์มา (ประเทศไทย) เลือกนำเข้ามาทำตลาดในประเทศไทย คือ ครีมอาบน้ำ ซึ่งเซ็กเมนท์ที่เลือกเข้ามาทำตลาด คือ เพื่อสุขภาพ เนื่องจากปัจจุบันการแข่งขันของตลาดครีมอาบน้ำดังกล่าวไม่รุนแรงมากนักเมื่อเทียบกับครีมอาบน้ำในตลาดบิวตี้หรือเพื่อความงาม
นอกจากนี้ ตลาดครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพยังมีแนวโน้มการขยายตัวที่ดีกว่าตลาดครีมอาบเพื่อความงาม เห็นได้จากตัวเลขการเติบโตของตลาดครีมอาบน้ำในปี 2559 ที่ผ่านมา ขณะที่ภาพรวมตลาดครีมอาบน้ำมีอัตราการเติบโตเพียง 5% หรือมีมูลค่าตลาดอยู่ที่ประมาณ 5,800 ล้านบาท แต่ในส่วนของตลาดครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพ ซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 1,300 – 1,400 ล้านบาท กลับมาอัตราการเติบโตสูงถึง 8% บริษัท มุดิฟาร์มา(ประเทศไทย) จึงเล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาทำตลาดดังกล่าว
นายรามัน ซิงห์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการประจำภูมิภาคเอเซียแปซิฟิกละตินอเมริกา ตะวันกออกกลาง และแอฟริกา บริษัท มุนดิฟาร์มา จำกัด กล่าวว่า การเปิดตัวครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ ไทยถือเป็นประเทศแรกของโลกที่บริษัทได้มีการพัฒนาสินค้าดังกล่าวเข้ามาทำตลาด เนื่องจากไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพ และการแข่งขันในตลาดครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพก็ไม่รุนแรง ซึ่งในส่วนของแบรนด์ครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพที่บริษัทได้เปิดตัวเข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ คือ เบตาดีน เนเชอรัล ดีเฟนส์
การเปิดตัว เบตาดีน เนเชอรัล ดีเฟนส์ เข้ามาทำตลาดครีมอาบน้ำในประเทศไทยครั้งนี้ นับเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์เบตาดีน ที่คิดค้นและพัฒนาโดยมุนดิฟาร์มา และถือเป็นการต่อยอดความสำเร็จของผลิตภัณฑ์ดูแลบาดแผลในประเทศไทย สู่เป้าหมายใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเพื่อสุขอนามัย ที่บริษัท มุดิฟาร์ มีแผนที่จะทำให้สำเร็จเหมือนกับการทำตลาดผลิตภัณฑ์ดูแลบาดแผลภายใต้แบรนด์เบตาดีน
นายรามัน กล่าวต่อว่า นับจากนี้ไปบริษัทจะมีการเปิดตัวสินค้ากลุ่มใหม่ๆ ทยอยออกมาต่อเนื่องเพื่อขยายตลาดและเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ เนื่องจากตลาดยารักษาบาดแผลในไทยมีการขยายตัวน้อย และเป็นตลาดเล็กปัจจุบันมีมูลค่าเพียงแค่ 250 ล้านบาทเท่านั้นในช่องทางร้านขายยา ซึ่งเบตาดีน เป็นผู้นำในตลาดดังกล่าว ด้วยการครองส่วนแบ่งทางการตลาดอยู่ที่ประมาณ 42%
ด้านนายอูโก้ อเลซานโดร ซาฟเวดรา ผู้จัดการทั่วไป บริษัท มุนดิฟาร์มา (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า ประเทศไทยมีการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำที่น่าสนใจ และมีความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ไม่มากนัก การออกผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ถือเป็นการสร้างความหลากหลายให้แก่ผู้บริโภค และมอบคุณค่าที่โดดเด่นแตกต่างไปจากคู่แข่งรายอื่น เนื่องจากบริษัทพัฒนาผลิตภัณฑ์ครีมอาบน้ำขึ้นมาเพื่อดูแลสุขภาพของผู้บริโภคอย่างแท้จริง
สำหรับผลิตภัณฑ์เบตาดีน เนเชอรัล ดีเฟนส์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดเพื่อสุขอนามัยที่บริษัท มุดิฟาร์มา(ประเทศไทย) ได้เปิดตัวเข้ามาทำตลาดในครั้งนี้ นอกจากจะมีผลิตภัณฑ์ในส่วนของครีมอาบน้ำแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์ในส่วนของโฟมล้างมือ และเจลล้างมืออนามัยเข้ามาทำตลาดควบคู่กันไปอีกด้วย โดยในส่วนของกลยุทธ์การทำตลาดจะชูจุดขายไปที่ไร้ 4 สารตกค้าง ได้แก่ SLS(Sodium Lauryl Sulfate) MIT(Methylisothiazolinone) ParabensและTriclosan นอกจากนี้ ยังมีสินค้าให้เลือกด้วยกันถึง 4 สูตรได้แก่ มอยซ์เจอไรซิง มานูกา ฮันนี่, ไบรท์เทนนิ่ง พอมิกราเนต, คลูลิ่ง ยูคาลิปตัส และ เพียวริฟายอิง ทีทรี
อย่างไรก็ดี เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักในวงกว้างเร็วขึ้น บริษัท มุดิฟาร์มา ก็ได้มีการวางกลยุทธ์การทำตลาดในช่วงครึ่งปีหลังนี้ไว้อย่างเข้มข้น ด้วยการเตรียมใช้งบการตลาดอยู่ที่ประมาณ 100 ล้านบาท เพื่อโฆษณาประชาสัมพันธ์และทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องไปจนถึงสิ้นปี เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย ซึ่งจะเน้นไปที่กลุ่มผู้บริโภคที่กลุ่มคุณแม่ ที่ต้องใส่ใจดูแลสุขอนามัยของทุกคนในครอบครัว และเพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักเร็ว จึงได้ดึง ติ๊ก เจษฎาภรณ์ ผลดีและครอบครัว มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับผลิตภัณฑ์เบตาดีน เนเชอรัล ดีเฟนส์ เนื่องจากมีไลฟ์สไตล์ที่เหมาะกับผลิตภัณฑ์ และเป็นขวัญใจของกลุ่มเป้าหมายผลิตภัณฑ์โดยเฉพาะ
ในส่วนของช่องทางการทำตลาดผลิตภัณฑ์เบตาดีน เนเชอรัล ดีเฟนส์ ซึ่งจะมีทั้งในส่วนของครีมอาบน้ำ โฟมล้างมือ และเจลล้างมือนั้น บริษัท มุดิฟาร์มา (ประเทศไทย) จะมุ่งเน้นไปที่ห้างค้าปลีกเป็นหลัก เนื่องจากสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ดีกว่าการวางขายสินค้าแค่เฉพาะร้านขายยา ประกอบกับพฤติกรรมของคนไทยเมื่อต้องการจะเข้าไปซื้อสินค้าข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้านจะมุ่งเน้นไปที่ห้างค้าปลีกเป็นหลัก บริษัท มุดิฟาร์มา (ประเทศไทย) จึงเลือกช่องทางดังกล่าวเป็นช่องทางหลักในการทำตลาด
หลังจากออกมาทำกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง บริษัท มุดิฟาร์มา(ประเทศไทย) คาดหวังว่าสิ้นปี 2560 นี้ จะมีส่วนแบ่งการตลาดไม่ต่ำกว่า 10% ในตลาดครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพ และเพิ่มขึ้นเป็น 35% ในอีก 5 ปีนับจากนี้ หรือประมาณปี 2566 ขึ้นเป็นผู้นำตลาดในตลาดครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพในประเทศไทย
แม้ว่าแบรนด์เบตาดีน จะอยู่ในประเทศไทยมานานจนแบรนด์เป็นที่รู้จักในตลาด แต่ตลาดในประเทศไทยก็ถือเป็นตลาดปราบเซียนในหลายกลุ่มสินค้า เพราะถ้ามีการวางแผนการตลาดไม่ดีธุรกิจก็อาจเกิดความล้มเหลวได้ เพราะผู้เล่นรายเดิมที่อยู่ในตลาดคงไม่อยู่นิ่งให้ผู้เล่นรายใหม่เข้ามาชิงส่วนแบ่งการตลาดไปได้ง่ายๆ อย่างแน่นอน ซึ่งหลังจากเบตาดีน ออกมารุกทำตลาดครีมอาบน้ำเพื่อสุขภาพ โฟมล้างมือ และเจลล้างมือในครั้งนี้ เชื่อว่าผู้เล่นรายเก่าในตลาดทั้งเล็กและใหญ่ต้องออกมาทำการตลาดอย่างหนัก เพื่อป้องกันส่วนแบ่งการตลาดที่จะหายไปอย่างแน่นอน
ข่าวเด่น