แม้ว่าช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมาตลาดนาฬิกาในประเทศไทยจะทรงตัวเหมือนกับหลายๆธุรกิจที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว แต่หลังจากก้าวเข้าสู่ครึ่งปีหลังตลาดนาฬิกาก็เริ่มส่งสัญญาณการฟื้นตัวขึ้นมา เนื่องจากช่วงไตรมาส 3 และ 4 เป็นช่วงหน้าขายสินค้า เพราะแต่ละแบรนด์จะมีการเปิดตัวสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ๆเข้าทำตลาด
นอกจากนี้ การที่ภาพรวมเศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกายังอยู่ในภาวะที่ชะลอตัว ส่งผลให้นาฬิกาแบรนด์ดังหลายแบรนด์เริ่มหันมาให้ความสนใจตลาดในภูมิภาคเอเชีย และอาเซียน เนื่องจากเป็นภูมิภาคที่เศรษฐกิจยังมีการขยายตัวที่ดี แม้ว่าจะไม่เติบโตดีเหมือนที่ผ่านมา แต่หากนำมาเปรียบเทียบกับภูมิภาคยุโรปและอเมริกาแล้วภูมิภาคเอเชีย และอาเซียนยังมีการขยายตัวดีกว่าค่อนข้างมาก
จากเหตุผลดังกล่าว จึงทำให้นาฬิกาแบรนด์ดังทั่วโลกหันมาให้ความสนใจตลาดในภูมิภาคเอเชีย และอาเซียน ซึ่งในส่วนของภูมิภาคอาเซียน ประเทศที่แบรนด์นาฬิกาส่วนใหญ่ให้ความสนใจ คือ ประเทศไทย เนื่องจากประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวจำนวนมาก และในปี 2559 ที่ผ่านมาก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวในประเทศไทยมากกว่า 30 ล้านคน ประกอบกับบรรดาห้างค้าปลีกของไทยก็มีการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง จึงทำให้นาฬิกาเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ยังมียอดขายที่ดี เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค
นายจักรกฤษณ์ กีรติโชคชัยกุล ผู้อำนวยการใหญ่อาวุโสบริหารสินค้า วอทช์ แกลอเรีย บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมตลาดนาฬิกาในประเทศไทยปีนี้คาดว่าจะมีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 45,900 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3-5% เมื่อเทียบกับปี 2559 ที่ตลาดรวมนาฬิกามีมูลค่าอยู่ที่ประมาณ 45,000 ล้านบาท ซึ่งในส่วนของมูลค่าดังกล่าวแบ่งเป็นตลาดนาฬิกาที่มีราคาตั้งแต่ 50,000 – 300,000 บาท ประมาณ 49% ราคามากกว่า 300,000 บาท 20% และระดับราคาอื่นๆ 31%
ในส่วนของราคานาฬิกาที่ได้รับความนิยมมากที่สุด คือ ระดับราคาประมาณ 20,000 - 30,000 บาท เนื่องจากเจ้าของสินค้าหันมาขยายตลาดดังกล่าวมากขึ้น เพราะตลาดระดับกลางลงล่างยังอยู่ในภาวะชะลอตัว ขณะที่ตลาดระดับกลางขึ้นบนยังมีการขยายตัวในทิศทางที่ดี ซึ่งจากปัจจัยดังกล่าว ส่งผลให้เจ้าของแบรนด์นาฬากาหันมาให้ความสำคัญกับการทำตลาดนาฬิการะดับกลางขึ้นบนมากขึ้น
สำหรับแบรนด์นาฬิกาที่มีการปรับตัวมาที่สุดในช่วงเวลานี้ คือ แบรนด์ยุโรป เนื่องจากขณะนี้ตลาดยุโรปยังไม่ฟื้นตัว จึงทำให้ต้องมีการปรับกลยุทธ์การทำตลาดไม่ว่าจะเป็นในด้านของวัสดุที่นำมาผลิตนาฬิกา หรือรูปแบบ รวมไปถึงราคาขาย เพื่อให้สินค้าเข้ามาทำตลาดในระเทศไทยได้ง่ายขึ้น
นายจักรกฤษณ์ กล่าวต่อว่า หากมองภาพรวมเศรษฐกิจในตอนนี้ตลาดเอเชีย และอาเซียนถือเป็นตลาดที่ดีที่สุดสำหรับการทำตลาดนาฬิกาในช่วงเวลานี้ ซึ่งตลาดไทยถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่เจ้าของแบรนด์นาฬิกาให้ความสนใจ เพราะนอกจากจะมีกลุ่มลูกค้าคนไทยแล้ว ยังมีกลุ่มลูกค้าที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาติอีกด้วย เนื่องจากประเทศไทยมีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวเป็นจำนวนมาก ซึ่งในส่วนของกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวที่ให้ความสนใจซื้อนาฬิกาในประเทศไทยมากที่สุด คือ จีน ยุโรป และตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ เพื่อเป็นการกระตุ้นยอดขายนาฬิกาให้ขยายตัวมากขึ้นในช่วงหน้าขายนี้ ล่าสุดบริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด ได้รับมือร่วมกับบริษัท สยามพิวรรธน์ จำกัด ร่วมกันจัดงาน “สยามพารากอน วอทช์ เอ็กซ์โป 2017” (Siam Paragon Watch Expo 2017) ที่สุดของมหกรรมแสดงนาฬิการะดับโลกครั้งยิ่งใหญ่แห่งปี ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในประเทศไทย และระดับเอเชีย ด้วยการนำเสนอนาฬิกาคอลเลคชั่นใหม่ล่าสุดจากแบรนด์นาฬิกาชั้นนำระดับโลกกว่า 180 แบรนด์ มาเอาใจนักสะสมทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ
นอกจากนี้ ยังได้มีการมอบ 10 ข้อเสนอสุดพิเศษ พร้อมส่วนลดสูงสุด 50% ให้กับลูกค้าได้เลือกช้อปนาฬิกาแบรนด์ดังกันแบบจุใจ ด้วยโปรโมชั่นและของสมนาคุณรวมมูลค่ากว่า 10 ล้านบาท ทั้งส่วนลดเคาน์เตอร์ปกติ 10-30% Fashion & Trend ลดกระหน่ำทั้งเคาน์เตอร์ 50% ซึ่งในส่วนของสมาชิกบัตรเอ็ม การ์ด (M Card) จะได้รับส่วนลดเพิ่มสูงสุดอีก 8% ทั้งยังสามารถลดเพิ่มอีก 12.5% เมื่อใช้คะแนนสะสม M Point เท่ากับยอดซื้อ
มากไปกว่านั้นสมาชิกบัตรแพลตตินัม เอ็ม การ์ด (Platinum M Card) รับส่วนลดพิเศษเพิ่มอีก นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับสถาบันการเงินและพันธมิตรบัตรเครดิตชั้นนำมอบสิทธิประโยชน์ให้กับลูกค้าเพิ่มเติม ทั้งเครดิตเงินคืนสูงสุด 30% และon top อีก 17% พร้อมโปรแกรมแบ่งชำระ 0% สูงสุด 10 เดือน พร้อมกันนี้ ยังมีของรางวัลสมนาคุณมากมาย เช่น มอบส่วนลดเพิ่มสูงสุดอีก 1,000 บาท เพียงลูกค้าแสดง Watch Galleria Voucher ณ จุดขาย และสำหรับผู้ที่มียอดใช้จ่ายสูงสุดในงาน ลุ้นรับตั๋วเครื่องบิน จากไชน่า แอร์ไลน์ เลือกเดินทางท่องเที่ยวไปไกลถึงประเทศสหรัฐอเมริกา หรือแคนาดา มูลค่ากว่า 500,000 บาท ซึ่งหลังจากจบงานดังกล่าวในวันที่ 15 ส.ค. นี้ คาดว่าจะมีเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 360 ล้านบาท
นายจักรกฤษณ์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมยอดขายนาฬิกาของบริษัทในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมามีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 4-5% ซึ่งถือว่าเป็นอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ เนื่องจากภาพรวมตลาดนาฬิกาในครึ่งปีแรกค่อนข้างชะลอตัว แต่หลังจากเข้าสู่หน้าการขายในช่วงครึ่งปีหลัง ประกอบกับบริษัทมีการทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง มั่นใจว่าสิ้นปี 2560 นี้มีรายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 8% อย่างแน่นอน
ส่วนภาพรวมตลาดนาฬิกาจะปิดตัวเลขได้ถึง 5% หรือไม่นั้นก็คงต้องรอดูกิจกรรมสินค้าคอลเลคชั่นใหม่ที่จะทยอยเปิดตัวกันเข้ามาทำตลาด ควบคู่ไปกับดูกิจกรรมส่งเสริมการขายที่ห้างค้าปลีกจะจัดขึ้น เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายได้มากแค่ไหน
ข่าวเด่น