นางสาวพิมพ์ชนก วอนขอพร โฆษกกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยกรณีที่มีผู้เรียกร้องให้นายกรัฐมนตรี ใช้อำนาจตามมาตรา 44 เปิดคลังเพื่อตรวจสอบคุณภาพข้าวในโกดังอีกครั้งหนึ่งนั้น ว่าจนถึงปัจจุบันนี้ได้เลยขั้นตอนดังกล่าวมานานแล้ว เพราะได้มีการตรวจสอบคุณภาพข้าวมาตั้งแต่ปี 2557 โดยผู้รับผิดชอบในการตรวจวิเคราะห์ตัวอย่างข้าว ณ ขณะนั้น คือ สำนักงานคณะกรรมการตรวจข้าว สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับมอบหมายจากกระทรวงพาณิชย์ทำหน้าที่ตรวจสอบคุณภาพข้าวส่งออก ตั้งแต่ พ.ศ.2500 จนถึงปัจจุบัน บริษัท บูโร เวอริทัส(ประเทศไทย) จำกัด บริษัทเซอร์เวย์เยอร์เอกชนและห้องปฏิบัติการดีเอ็นเอเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน
ซี่งเป็นหน่วยงานที่มีชื่อเสียงและเป็นที่ยอมรับตามมาตรฐานสากลวิเคราะห์คุณภาพข้าวทั้งทางกายภาพ เคมี และพันธุกรรมข้าว (DNA) ซึ่งผลการตรวจสอบก็เป็นที่รับทราบต่อสาธารณชนและใช้เป็นหลักฐานในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด อยู่แล้วในขณะนี้ จึงไม่มีเหตุที่จะต้องดำเนินการตามที่เสนอ
ส่วนที่มีผู้ตั้งข้อสังเกตว่าอาจจะมีการนำข้าวที่ประมูลเป็นอาหารสัตว์ไปเวียนเทียนขายเป็นข้าวสำหรับคนนั้น ขอเรียนว่าที่ผ่านมากระทรวงพาณิชย์ได้มีมาตรการเข้มงวดกับเรื่องดังกล่าว โดยได้มีการกำหนดขั้นตอนและมาตรการในการควบคุมการขนย้ายข้าวจากคลังสินค้าต้นทางไปจนถึงคลังสินค้าปลายทางที่เป็นโรงงานอุตสาหกรรมของผู้ชนะการประมูล และได้มอบหมายให้เจ้าหน้าที่ขององค์การคลังสินค้า (อคส.) และผู้แทนของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องลงพื้นที่ตรวจสอบความพร้อมในพื้นที่จังหวัดที่เป็นคลังสินค้าปลายทาง นอกจากนั้นแล้ว คลังสินค้าปลายทางจะต้องมีการติดตั้งกล้อง cctv และต้องรายงานข้อมูลสินค้าผ่านเว็ปไซต์ www.pwo.co.th เพื่อรายงานให้ อคส. ทราบและเมื่อขนย้ายข้าวถึงสถานีปลายทางแล้ว อคส. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะร่วมกันสุ่มตรวจปริมาณข้าวอีกครั้งว่าตรงตามปริมาณการขนย้ายหรือไม่
ทั้งนี้ หาก อคส.ตรวจพบว่าผู้ซื้อไม่นำข้าวสารเข้าสู่กระบวนการผลิตทางอุตสาหกรรมตามที่ได้แจ้งไว้ในวัตถุประสงค์ที่ขอซื้อ จะต้องชำระค่าปรับ 25% ของมูลค่าข้าวสารที่ไม่ได้นำเข้าสู่กระบวนการอุตสาหกรรมและหาก อคส.เลิกสัญญา ผู้ซื้อจะต้องเสียค่าปรับ 25% ของมูลค่าปริมาณข้าวสารที่ยังไม่ได้รับมอบและขนย้าย รวมทั้งจะถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ทั้งทางแพ่งและอาญาด้วย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชนมีความโปร่งใส ตรวจสอบได้
ข่าวเด่น