เป็นอีกหนึ่งปีที่ตลาดผ้าอนามัยมีการแข่งขันกันค่อนข้างรุนแรง หลังจากมีน้องใหม่ประกาศตัวของชิงส่วนแบ่งการตลาดผ้าอนามัย ซึ่งปัจจุบันมีมุลค่าอยู่ที่กว่า 6,000 ล้านบาท อย่างต่อเนื่อง ภายหลังพบแนวโน้มตลาดผ้าอนามัยในประเทศไทยยังมีแนวโน้มการเติบโตที่ดี จึงส่งผลให้ผู้ประกอบการที่ดำเนินธุรกิจของใช้ส่วนบุคคลเล็งเห็นโอกาสในการเข้ามาทำตลาดกลุ่มสินค้าดังกล่าว
ภาพรวมความคึกคักดังกล่าวเริ่มส่งสัญญาณให้เห็นตั้งแต่ปี 2559 ที่ผ่านมา เมื่อผู้เล่นน้องใหม่อย่างบริษัท แอสปายด์ คอนซูมเมอร์ เอนเทอไพรซ์ จำกัด ออกมาประกาศตัวรุกตลาดผ้าอนามัยด้วยการส่งสินค้าภายใต้แบรนด์ “ควิเซนต์” เข้ามาทำตลาด ด้วยการชูจุดเด่นของสินค้าที่ผลิตจากฝ้ายคอตตอนแท้ 100% ถือว่าแตกต่างไปจากคู่แข่งในตลาดที่ส่วนใหญ่จะผลิตสินค้าจาก Polyethylene film ซึ่งผลิตมาจากผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีขั้นปลายเช่นเดียวกับขวดพลาสติกที่อาจทำให้เกิดการระคายเคืองและแพ้ได้
หลังจากเปิดตัวสินค้าเข้าทำตลาดบริษัท แอสปายด์ฯ ก็เดินหน้าทำกิจกรรมส่งเสริมการขายในรูปแบบต่างๆ ทันทีไม่ว่าจะเป็นออนไลน์ หรือออฟไลน์ เพื่อสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จัก โดยเฉพาะกลุ่มเป้าหมายหลักระดับพรีเมียม และกลุ่มที่ใส่ใจสุขภาพ ซึ่งหลังจากเดินหน้าทำกิจกรรมส่งเสริมการขายและสร้างแบรนด์สินค้าอย่างต่อเนื่อง บริษัท แอสปายด์ฯ มั่นใจว่าภายใน 3 ปี จะมีรายได้ไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาท
นอกจากจะมีการเปิดตัวผ้าอนามัยแบรนด์ ควิเซนต์ เข้ามาทำตลาดแล้ว ในปี 2559 ที่ผ่านมา ยังมีผ้าอนามัยน้องใหม่อีกหนึ่งแบรนด์นำสินค้าเข้ามาทำตลาด นั่นก็คือ แบรนด์ เอลิส ซึ่งหลังจากทดลองตลาดมาพักใหญ่จนได้ผลการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ ล่าสุดบริษัท เอลิแอล อินเตอร์เนชั่นเนล (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผ้าอนามัยเอลิส ก็ออกมาประกาศตัวสู้ศึกตลาดผ้าอนามัยในประเทศไทยอย่างจริงจัง และเพื่อรองรับการขยายธุรกิจในอนาคต ซึ่งจะมีการส่งออกสินค้าเข้าไปทำตลาดในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วย บริษัท เอลิแอลฯ จึงได้ตัดสินใจทุ่มงบ 400 ล้านบาท ลงทุนสร้างโรงงานผลิตผ้าอนามัยในประเทศไทยที่นิคมอุตสาหกรรมอมตะซิตี้ ใกล้กับโรงงานผลิตผ้าอ้อมสำเร็จรูปกูนน์
นายฮิโรยูคิ ฟูจิตะ ประธาน บริษัท เอลิแอล อินเตอร์เนชั่นแนล(ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า การเข้ามาลงทุนตั้งโรงงานผลิตผ้าอนามัยในประเทศไทยครั้งนี้ถือเป็นครั้งแรกของบริษัทที่ออกมาลงทุนขยายธุรกิจนอกประเทศญี่ปุ่น เนื่องจากบริษัทมีความมั่นใจในเศรษฐกิจของประเทศไทยว่าจะต้องปรับตัวดีขึ้นในอนาคต ประกอบกับตลาดผ้าอนามัยในประเทศไทยมีการขยายตัวที่ดีต่อเนื่อง บริษัทจึงเข้ามาลงทุนสร้างโรงงานผลิตผ้าอนามัยในประเทศไทย ซึ่งนอกจะผลิตสินค้าเพื่อจำหน่ายในประเทศไทยแล้ว บริษัทยังมีแผนที่จะใช้ไทยเป็นฐานการผลิตสินค้า เพื่อส่งออกไปทำตลาดในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย
อย่างไรก็ดี เบื้องต้นโรงงานแห่งดังกล่าวจะใช้ทำการตลาดสินค้าเพื่อทำตลาดเฉพาะในประเทศไทยก่อน เนื่องจากต้องการสร้างฐานลูกค้าในประเทศไทยให้มีความแข็งแกร่งก่อนขยายตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ในอีก 1 ปีนับจากนี้ ส่วนสินค้าที่จะทำการตลาดในโรงงานที่อมตะซิตี้นั้น จะเริ่มเดินสายการผลิตสินค้าเข้ามาทำตลาดในวันที่ 14 ส.ค.ที่จะถึงนี้
สำหรับแผนการทำตลาดผ้าอนามัยเอลิส เบื้องต้นจะทำการเปิดตัวสินค้าเข้ามาทำตลาดจำนวน รุ่น รวม 11 รายการ ทั้งแบบกลางวันและกลางคืน ขณะเดียวกันก็จะทำกิจกรรมส่งเสริมการขายควบคู่ไปกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เพื่อสร้างแบรนด์สินค้าให้เป็นที่รู้จัก และเพื่อให้แบรนด์เป็นที่รู้จักเร็วขึ้น ล่าสุดได้ดึง แต้ว-ณฐพร เตมีรักษ์ ดารานักแสดงชื่อดังมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับแบรนด์ผ้าอนามัยเอลิส
นอกจากนี้ ในด้านของช่องทางการจัดจำหน่าย หลังจากเข้ามาศึกษาตลาดอยู่พักใหญ่ บริษัท เอลิแอลฯ ก็พบแนวทางการทำตลาด โดยในส่วนของช่องทางขายในห้างค้าปลีกบริษัท เอลิแอลฯ จะเป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าเอง ส่วนร้านค้าทั่วไปได้มอบหมายให้บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด(มหาชน) เป็นผู้จัดจำหน่ายสินค้าให้
หลังจากเดินหน้าทำกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่องคาดว่าภายใน 3-5 ปีนับจากนี้ บริษัท เอลิแอลฯ น่าจะมีส่วนแบ่งการตลาดจากการจำหน่ายผ้าอนามัยเอลิส ไม่ต่ำกว่า 10% ขึ้นเป็นที่ 3 แทนที่ผ้าอนามัยโมเดสได้สำเร็จ เนื่องจากปัจจุบันโมเดสมีส่วนแบ่งการตลาดผ้าอนามัยเพียง 10% ขณะที่อันดับ 2 เป็นของแบรนด์ลอรีเอะมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 37% และอันดับ 1 เป็นของแบรนด์โซฟีมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 50%
แม้ว่าลอรีเอะ และโซฟีจะมีส่วนแบ่งการตลาดนำโด่งจากผู้เล่นรายรองหลายช่วงตัว แต่ทั้ง 2 แบรนด์ก็ไม่ประมาท โดยในส่วนของแบรนด์ลอรีเอะ นอกจากจะมีการเปิดตัวผ้าอนามัยรุ่นใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่มุ่งสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับผู้บริโภค สื่อสารแบรนด์ผ่านกิจกรรมการตลาดต่างๆ ให้เข้าถึงและตอบโจทย์แต่ละกลุ่มเป้าหมายได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการใช้พรีเซ็นเตอร์เป็นสื่อกลางในการสื่อสารกับลูกค้ากลุ่มเป้าหมายไม่ว่าจะเป็นญาญ่า-อุรัสยา, คิม-คิมเบอร์ลี่ หรือใหม่-ดาวิกา เพื่อให้ผู้บริโภครู้สึกใกล้ชิดและผูกพันกับแบรนด์มากขึ้น
เช่นเดียวกับแบรนด์เจ้าตลาดอย่างโซฟี ที่นอกจากจะเปิดตัวสินค้าใหม่เข้ามาทำตลาดอย่างต่อเนื่องจนสร้างความฮือฮาให้กับตลาด หลังจากเปิดตัวผ้าอนามัยโซฟี คูลลิ่ง เฟรช หรือผ้าอนามัยแบบเย็นเข้าทำตลาดแล้ว แบรนด์โซฟี ยังมีการออกมาทำกิจกรรมส่งเสริมการขายและทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่องภายใต้ภายใต้แนวคิด ‘สนุกได้ไม่มีวันหยุด’ เพื่อขยายกลุ่มเป้าหมายวัยรุ่นให้เข้ามาใช้แบรนด์ผ้าอนามัยของโซฟีมากขึ้น
จากความคึกคักที่เกิดขึ้นกับตลาดผ้าอนามัยในประเทศไทยครั้งนี้น่าจะทำให้ภาพรวมตลาดมีการขยายตัวไม่ต่ำกว่าปี 2559 ที่มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 4-5% แน่นอน เพราะแต่ละค่ายก็ต่างปรับกลยุทธ์การตลาดเด็ดๆ มาเอาใจลูกค้า
ข่าวเด่น